ทำเป้าหมายสำเร็จได้ เมื่อติดตามและวัดค่าเป็น

ทำเป้าหมายสำเร็จได้ เมื่อติดตามและวัดค่าเป็น

“สิ่งไหนวัดค่าไม่ได้ สิ่งนั้นจะไม่สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้เหมือนกัน”

“ผลลัพธ์ใหญ่เกิดจากการทำเป้าหมายเล็กๆได้ต่อเนื่อง”

“คนเราเติบโตเพราะพฤติกรรมเล็กๆที่ทำทุกวัน ไม่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดในทันที”

“อยากติดตามวัดค่าอย่างสม่ำเสมอ ต้องทำให้การติดตามง่าย”

.

ข้างบนคือชุดความเชื่อที่เธมส์ใช้ในการตั้งเป้าหมายและพัฒนาตัวเองอย่างสม่ำเสมอเท่าที่พอจะทำได้ครับ

.

พอเชื่อในอะไรแบบนี้ ก็เลยพยายามหาวิธีว่า ทำยังไงให้ตัวเองตั้งเป้าแล้วติดตามตัวเองได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไปพร้อมกับการสร้างพฤติกรรมเล็กๆที่นำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้อย่างต่อเนื่องด้วย

.

เลยเกิดเป็น Form check sheet ที่ผสมระหว่าง OKR + Habit tracking ที่ตัวเองทำมาตลอดช่วง 3-4 ปีหลัง (จริงๆมีวิวัฒนาการหลาย version มาก จนพบว่า แบบนี้แหละ work กับตัวเองที่สุด)

OKR & Habit tracking form

หลักการคือ

  1. ตั้ง Objectives (O) และ Key Results (KR) ในชีวิตด้านที่ต้องการจะโฟกัส 3-4 O โดยแต่ละ O มี KR ไม่เกิน 3 ข้อ (มากกว่านี้ไม่ไหว โฟกัสไม่ได้จริงงง)

.

  1. ถามตัวเองว่า การจะทำ KR แต่ละอันให้สำเร็จ ต้องสร้าง small habit อะไรบ้าง ด้วยความถี่เท่าไหร่ ระยะเวลาแค่ไหน

.

  1. ซอย KR ออกมาเป็น 2 มุมคือ KR ที่ต้องการในเชิงผลลัพธ์ กับ KR ในเชิง small habit ที่ต้องการ tracking เช่นจากภาพ

.

O2: Energetic life and good health!

KR1: (ต้วอย่าง) น้ำหนัก 60 kg. โดยวิ่ง 3 ครั้ง/week ครั้งละ 5 km ภายใน Q4

.

สังเกตว่า KR1 จะมี 2 มุมคือ

  • มุมผลลัพธ์ [น้ำหนัก 60 kg.] และ
  • มุม small habit [วิ่ง 3 ครั้ง/week ครั้งละ 5 km.] ซึ่งสิ่งนี้จะถูกนำไปทำ habit tracking ง่ายๆต่อ

นี่คือวิธีที่เธมส์ใช้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ครับ คิดว่าชอบนะและ practical สำหรับตัวเองมาก อยากเอามาแบ่งปันให้ฟังเผื่อเป็นประโยชน์

.

ผมทำ ตัวอย่าง form ไว้ให้เผื่อใครอยากลอง download กันไปใช้ ปรับให้เหมาะกับเป้าหมายของตัวเองกันตามด้านล่างครับบ

.

กดโลดดด

https://docs.google.com/spreadsheets/d/1QwV1cKF6Kuff7uV0aB-t9dW8tAxwPJG5sZlCFM01-GU/edit?usp=sharing

.

หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ

รู้จัก Strategic Thinking วิธีคิดที่ทำให้คุณก้าวนำคนอื่นตลอดเวลา

รู้จัก Strategic Thinking วิธีคิดที่ทำให้คุณก้าวนำคนอื่นตลอดเวลา

0. เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมบางคนถึงคิดล่วงหน้าและคาดการณ์สิ่งต่างๆได้เก่งจัง?

ทำไมบางคนถึงรู้ว่าองค์กรต้องทำอะไรถึงจะชนะคู่แข่งคนอื่นได้?

ทำไมบางคนถึงรู้ว่าเขาต้องพัฒนาตัวเองยังไงเพื่อก้าวนำหน้าคนอื่น?

คำตอบคือเขามี “วิธีคิดแบบเป็นกลยุทธ์” หรือ “Strategic Thinking” ครับ ถ้าเราอยากเป็นคนที่ก้าวนำหน้าคนอื่นตลอดเวลา เราต้องเป็นนักคิดแบบกลยุทธ์ให้ได้ครับ

แล้วมันคืออะไร ต้องคิดยังไง ฝึกได้ไหม? วันนี้เธมส์จะเอาบทเรียนจากหนังสือ The Six Disciplines of Strategic Thinking ของคุณ Michael D. Watkins ผสมกับเทคนิคส่วนตัวมาเล่าให้ฟังครับ

1. กลยุทธ์ (Strategy) คืออะไร?

ผมชอบคำอธิบายของ ดร.ธนัย ชรินทร์สาร มากครับ เข้าใจง่ายและเห็นภาพสุดๆ

ดร. บอกว่ามันคือสิ่งที่ทำให้เกิด

Superior long-term performance

Superior คือดีกว่า-เหนือกว่าคนอื่น

Long-term คือไม่ใช่แค่ในระยะสั้นแต่ต้องระยะยาว

Performance คือเกิดผลลัพธ์ที่ดี

สรุปคือ “สิ่งที่ทำให้เกิด Performance ที่เหนือกว่าคนอื่นในระยะยาว”

2. การคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic thinking) คืออะไร?

การคิดเชิงกลยุทธ์จึงเป็น วิธีคิดไปข้างหน้า โดยผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งภายนอก-ภายใน เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปได้ของอนาคตหลายๆแบบ ที่คุณจะเลือกเดินเพื่อสร้างความได้เปรียบให้ตัวเอง

คุณไม่ต้องทำงานในสายกลยุทธ์ คุณก็คิดเชิงกลยุทธ์ได้

3. โลกผันผวน Strategy จึงโคตรสำคัญ

โลกยุคนี้เรียกว่า VUCA world เป็นโลกที่ปัจจัยต่างๆมี

– ความผันผวน (Volatility)

– ความไม่แน่นอน (Uncertainty)

– ความซับซ้อน (Complexity)

– และความคลุมเครือ (Ambiguity) มาก ยิ่งวุ่นวายมาก การคิดเชิงกลยุทธ์ก็ยิ่งสำคัญ

4. VUCA ในทางปฏิบัติคืออะไร

เธมส์เอา VUCA มาอธิบายให้เห็นภาพจับต้องได้คือ สมมุติมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราสนใจ 4 ตัว ราคาน้ำมัน, ภาวะสงคราม, การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การเข้ามาของ AGI (Artificial General Intelligence)

– ราคาน้ำมัน วิ่งขึ้นลงไวมากในช่วงเวลาหนึ่งๆ อันนี้คือ ผันผวน (Volatility)
– ภาวะสงครามจะเกิด-ไม่เกิด อันนี้คือมี ความไม่แน่นอน (Uncertainty)

– พอมอง 4 ปัจจัยมาประเมินความสัมพันธ์กัน ปรากฎว่า เอ๊า ราคาน้ำมัน ก็เกี่ยวข้องกับภาวะสงคราม เกี่ยวกับนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เกี่ยวกับการพัฒนา AGI ด้วย ใช้พลังงานเยอะจัด! หลายปัจจัยเกี่ยวข้องมาก หัวจะปวด พอความสัมพันธ์ของปัจจัยมันหลากหลาย เลยเกิด ความซับซ้อน (Complexity) ขึ้น

– ทีนี้พอเรื่องที่เราสนใจมัน Complex มากๆ วิธีแก้ปัญหาของเราจะเริ่มคลุมเครือ (Ambiguity) แล้ว เอ๊ะ แก้ยังไงได้นะ ไม่มี playbook เว้ย แก้จากด้านเดียวก็ไม่ได้เว้ย เป็นงูกินหางอีก ก็ต้องนัวๆ กะๆ หาวิธีแก้จากหลายทางพร้อมกัน ทดสอบ de-risk กันไป

5. Strategic Thinking = RPM Process

จะคิดเชิงกลยุทธ์ ต้องทำกระบวนการ RPM คือ
.
[Recognize] รับรู้สถานการณ์ แกะ-วิเคราะห์ปัจจัย ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้อง

[Prioritize] จัดลำดับความสำคัญของประเด็นที่พบ สิ่งทีต้องแก้ไข/ปรับตัว

[Mobilize] ขับเคลื่อน สร้างทางเลือกในการแก้ปัญหา สร้าง vision และขับเคลื่อนคน

6. จะ [Recognize] กับ [Prioritize] ได้เก่ง ดี มี 3 สิ่งที่ต้องฝึก

[1] Pattern Recognition
ฝึกเรียนรู้ จดจำ Pattern ของสถานการณ์ เหตุการณ์ให้เก่ง อ่าน case study เยอะๆ วิเคราะห์ trend บ่อยๆ เราต้องเข้าใจ Pattern อดีตเพื่อวิเคราะห์-คาดการณ์ความเป็นไปได้ในอนาคตครับ (ใช้ Critical thinking ทำ Compare & Contrast ระหว่าง Pattern ที่มีในหัวเดิม กับเหตุการณ์ที่กำลังเจอ)

[2] Systems Analysis
ฝึกวิเคราะห์ระบบ แยกองค์ประกอบ หาความสัมพันธ์ และสร้างโมเดลระบบให้ได้ เพื่อ monitor ปัญหาและคาดการณ์ impact ได้ถูกจุด เช่น หา Bottleneck, ดู Threshold ของเรื่องที่สนใจ เพื่อเตรียมพร้อมเปลี่ยน mode การทำงาน หรือบังคับใช้มาตรการป้องกันพิเศษ ถ้าเกิดปัญหา

[3] Mental Agility
ฝึกคิดอย่างยืดหยุ่น รู้ว่าเมื่อไหร่ควรใส่ใจภาพใหญ่-ภาพเล็ก และเข้าใจทฤษฏีเกม เพื่อสร้าง Scenario และเลือกกลยุทธ์ที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งในระยะยาวได้

7. ต่อมาต้องมา [Mobilize] จะขับเคลื่อนกลยุทธ์ได้ ต้องทำอีก 3 สิ่ง (เลข [4]-[6])

[4] Structured Problem-solving
เมื่อรู้แล้วว่าปัญหาไหนสำคัญ แก้ก่อนหลังยังไง เราต้องแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบด้วย ถ้าเราอยู่ในองค์กร เราไม่ได้ลงมือทำเรื่องนี้คนเดียวแน่ๆถูกไหมครับ เพราะฉะนั้นมี 5 ขั้นตอนที่เราใช้แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบได้ คือ

(1) กำหนดบทบาทและสื่อสารกระบวนการว่าใครมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้บ้าง
(2) กำหนดกรอบปัญหาให้ชัด ให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน
(3) หาวิธีแก้ที่มีศักยภาพและเป็นไปได้
(4) ตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสม
(5) ลงมือครับ ลุย! จัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสม และรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง

[5] Visioning
สร้างวิสัยทัศน์เพื่อ convince และ motivate คนจ้าาา วิสัยทัศน์คือ “ภาพอนาคตที่เราอยากให้เป็นอย่างเฉพาะเจาะจง” ซึ่งบอกว่า “เราต้องทำอะไร” เพื่อไปให้ถึงภาพนั้น

เช่น SpaceX บอกว่า “To make life multi-planetary by establishing a self-sustaining city on Mars”,

Meta ตอนเปลี่ยนจาก facebook ก็พยายามจะบอกว่า “To bring the metaverse to life and help people connect, find communities, and grow businesses” หุๆๆ

[6] Political Savvy
เล่นการเมืองให้เป็น… ชีวิตจริงอ่ะเนาะ มันก็ต้องมีทั้งคนเห็นด้วย-ไม่เห็นด้วยในทุกการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว

เราต้องฝึกวิเคราะห์ Stakeholders และมีกลยุทธ์ในการ Influence คนด้วย เช่น แยกให้ได้ว่าใครเป็น กลุ่มผู้สนับสนุน-กลุ่มเป็นกลาง-กลุ่มผู้คัดค้าน, รู้ว่าควรคุยกับใครก่อน-หลัง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ และสร้าง win-win solutions ให้ได้

8. สรุปทั้งหมดสั้นๆคือ

(1) โลก VUCA จัด เราต้องฝึก Strategic thinking ให้มี Superior long-term performance บ่อยขึ้น ใช้ได้กับทุกเรื่อง

(3) Strategic thinking คือกระบวนการ RPM (Recognize —> Prioritize —> Mobilize)

(4) จะ RP เก่ง ต้องฝึก [1] Pattern Recognition, [2] Systems Analysis, [3] Mental Agility

(5) จะ M ได้ ต้องฝึก [4] Structured Problem-solving, [5] Visioning, และ [6] Political Savvy

—-

“The Innovators Playbook”

– ปีนี้คิดว่าสิ่งที่เอามาเล่าให้ฟังจะมาใน Theme “The Innovators Playbook” ครับ
– เธมส์จะจัด Mindset, Skill, Knowledge มาให้อย่างต่อเนื่อง เอาให้ทุกคนมีคู่มือ (Playbook) ติดอาวุธที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ตัวเองได้รวดเร็ว ตามสภาพแวดล้อมที่ก็หมุนไวซะเหลือเกินได้ครับ
– ฝากติดตาม Page และ 2050Podcast กันไว้ด้วยคร่าบบ จะได้ไม่พลาดสิ่งที่จะเอามาเล่าให้ฟัง หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนครับบบบ  : )

ใครสนใจหนังสือ The Six Disciplines of Strategic Thinking เล่มนี้ดีเลย เธมส์ชอบบบ

มีแปลไทยแล้วด้วยโดย #amarin #howto ครับ สอยกันได้ที่ link ด้านล่างครับ

https://s.shopee.co.th/4fgJJj1nXf

40 พฤติกรรมง่ายๆ ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นมหาศาล

40 พฤติกรรมง่ายๆ ที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นมหาศาล

เคยไหมครับที่ตั้งเป้าหมายช่วงต้นปีซะดิบดี ผ่านไปแป๊บเดียว เอ๊าาา ลืมแล้ว ไม่ได้ทำต่อซะแล้ว?

ถ้าเคย เราคือพวกกเดียวกันครับ 5555

 

เธมส์ได้เรียนรู้ว่าหนึ่งในปัญหาที่ทำให้เราทำสิ่งที่ตั้งใจไม่ได้ตลอดทั้งปี คือ “การตั้งเป้าหมายใหญ่เกินไป” ใหญ่จนทำไม่ได้จริง ใหญ่จนท้อ เพราะพลังฮึดคนมันมีจำกัด

ถ้าอยากแก้ปัญหานี้ เราต้องย่อยเป้าหมายใหญ่ลงมาเป็น “พฤติกรรมเล็กๆ” หรือ “Simple rule” ที่ทำได้ใน regular basis คือทำได้ในรอบที่สม่ำเสมอ เช่น ทุกเดือน ทุกอาทิตย์ หรือทุกวันให้ได้ และนี่คือตัวอย่างของพฤติกรรมเล็กๆที่ทำแล้ว ชีวิตจะดีขึ้นมหาศาลในแต่ละด้านของชีวิตครับ

—-

ด้านการงาน: Goal —> Strategy —> Plan —> Operation —> Review

  1. กำหนดเวลา 1-3 ชั่วโมงเพื่อทบทวนเป้าหมาย และกลยุทธ์การทำงานของตัวเอง/ทีม ทุกเดือนหรือ 3 เดือน
  2. วางแผนงานของอาทิตย์ถัดไปล่วงหน้า ก่อนกลับบ้านวันศุกร์
  3. ทำรายการงานสำคัญ และทบทวนรายการทุกวัน
  4. งานสำคัญ ทำให้เสร็จช่วงเช้า
  5. อยากโฟกัส ให้ไปนั่งที่เงียบๆ
  6. พักยืดเส้น ดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ 5-10 นาที ทุกๆการทำงาน 1-2 ชั่วโมง
  7. ทำงานสำคัญเสร็จ จะไปจัดเครื่องดื่มอร่อยๆ 1 แก้ว

ด้านการเงิน: รายได้ – เงินเก็บ = รายจ่าย

(ผมเขียนไม่ผิดครับ เก็บก่อนจ่ายออกเสมอ!), Simplify your life

  1. เก็บเงินสดทันทีหลังได้รับเงินเดือน เดือนละ a บาท (ตัวเลข a ต้องมาจากเป้าหมายว่าจะเก็บเงินก้อนนี้เพื่ออะไร ทั้งหมดเท่าไหร่ในปีนี้ แล้วค่อยซอยย่อยลงมาเป็นจำนวนเงินเก็บรายเดือน)
  2. ลงทุนเดือนละ b บาท (ตัวเลข b มาจากการคำนวณ แบ่งสัดส่วนจากรายได้ที่เหมาะสมตามสถานการณ์ บริบท และเป้าหมายในการลงทุนของแต่ละคน พร้อมศึกษาความรู้ในด้านการลงทุนควบคู่ไปด้วย)
  3. เมื่อได้รับธนบัตรมูลค่า c บาท จะหยอดกระปุก
  4. เมื่อจ่ายด้วยบัตรเครดิต ต้องโอนเงินสดมาเก็บในบัญชีแยกในจำนวนเท่ากันทันที
  5. กำหนด Limit ของเงินที่ใช้ได้รายเดือน ที่ต้องใช้ในแต่ละด้านของชีวิต
  6. กินข้าวนอกบ้านอาทิตย์ละครั้ง (สมมุติอยากลดรายจ่าย จากเดิมอาจจะกินข้าวนอกบ้าน 3 วันต่ออาทิตย์ ก็ลดเหลือ 1 ครั้ง เป็นต้น)
  7. ดูหนังเดือนละเรื่อง (สมมุติอยากลดรายจ่าย จากเดิมดูหนังทุกอาทิตย์ ก็เหลือเดือนละเรื่อง เป็นต้น)

ด้านการพัฒนาตัวเอง: Mastery, Output thinking, 70:20:10 Learning

  1. อ่านหนังสือก่อนนอน 30 นาที ทุกวัน
  2. เรียนคอร์ส online 30 นาที หลังอาบน้ำเสร็จ ทุกวัน
  3. เข้า on-site workshop ในเรื่องที่สนใจ เดือน/quarter ละครั้ง
  4. ทำสรุปหนังสือเดือนละ d เล่ม
  5. เอาสิ่งที่เรียนไปสอนทีมงานทุก e เดือน
  6. เขียนบทความ e ครั้งต่ออาทิตย์
  7. ขอคำแนะนำผู้เชี่ยวชาญเดือนละครั้ง

ด้านสุขภาพ: Physical + Mental health

  1. วิ่งวันละ f km. /หรือ/ วิ่งทุกวัน WFH และวันหยุด
  2. เลิกกินทันทีเมื่อรู้สึกอิ่ม
  3. เคี้ยวข้าวให้ละเอียด
  4. ไม่กินมื้อเย็น /หรือ/ กินมื้อเย็นได้เฉพาะวันหยุด
  5. ไม่ซื้อขนมเข้าบ้าน
  6. นอนไม่เกิน 5 ทุ่ม
  7. ปิดไฟให้มืดสนิทก่อนนอน ให้หลับสนิท
  8. ไม่ใช้ electronic device เพื่อลดแสงสีฟ้า ก่อนนอน 30 นาที (เอาไปอ่านหนังสือแทน)
  9. ทำกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจ (เลือกกิจกรรมกันเอาเอง) ตามระยะเวลาที่เหลือในแต่ละวัน โดยไม่รบกวนเวลานอนเด็ดขาด

ด้านความสัมพันธ์

 

  1. กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัวทุกวันอาทิตย์
  2. เจอเพื่อนทุกเดือน/ทุก quarter
  3. ถามสารทุกข์สุขดิบของเพื่อนร่วมงานทุกวัน
  4. กินข้าวกับเพื่อนร่วมงานทุกเดือน/ทุก quarter
  5. พาครอบครัวไปเที่ยวทุกวันหยุดยาว อย่างน้อยปีละครั้ง
  6. โทร/พูดคุยกับคนที่รักทุกวัน
  7. อ่านนิทานให้ลูกฟังทุกคืน

ด้านจิตวิญญาณ

  1. นั่งสมาธิ 5-10 นาทีหลังตื่นนอน / ก่อนเข้านอน
  2. บริจาคสนับสนุนเงิน g บาท ให้ด้านที่เราสนใจ เช่น กองทุนการศึกษา
  3. ทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมในด้านที่สนใจ เดือน/quarter ละครั้ง
  4. ขอบคุณสิ่งดีๆ ก่อนนอนทุกคืน

นี่คือตัวอย่างบางส่วนของพฤติกรรมเล็กๆ หรือ Simple rule ที่เราสามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน ยิ่งย่อยเป้าหมายใหญ่ออกมาเป็นกิจกรรมเล็กๆที่ทำได้ทุกวันมากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสสร้างมันให้กลายเป็นพฤติกรรมติดตัว ที่ทำได้โดยไม่ต้องมานั่งคิดอะไรเลยมากเท่านั้น

แล้ววันหนึ่งเราจะพบว่า กิจกรรมที่เราทำในแต่ละวันอย่างอัตโนมัติทั้งหมด เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้เรื่อยๆ แม้จะไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิตเลยก็ตาม แค่ทำสิ่งเล็กๆได้ดี ชีวิตภาพใหญ่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆเอง!

หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับการเปิดปีใหม่ 2025 นี้ครับ : )

—–

ฝากติดตาม #2050Podcast พ็อดคาสท์ที่จะช่วยให้คุณรื้อค้นและสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ให้พร้อมสำหรับการทำงานในโลกอนาคต ได้ทุกช่องทางที่ทุกคนถนัดครับ

.

EP. 230 📌 6 สิ่งที่แยกผู้บริหารโคตรเก่งออกจากผู้บริหารทั่วไป

บทเรียนจากหนังสือ CEO Excellence ที่วิจัยโดย McKinsey บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก

.

📍กดเพื่อดู youtube และติดตามได้ที่
https://youtu.be/1YyCtqoqWkM
.
📌 หรือฟังได้ทาง podcast player ที่ทุกคนถนัด
Spotify: https://spoti.fi/41ehizS
Apple: https://apple.co/49wQZqN
Soundcloud: https://on.soundcloud.com/i4gvemBV5Gzq1Lze8
Podbean: https://www.podbean.com/ew/dir-97smr-2286d750
Blockdit: https://www.blockdit.com/posts/674c55c73c82becc6b01d935

เล่าเรื่องยังไงให้ทรงพลัง ใครก็อยากซื้อไอเดียคุณ บทเรียนจากหนังสือ Presentation Canvas

เล่าเรื่องยังไงให้ทรงพลัง ใครก็อยากซื้อไอเดียคุณ บทเรียนจากหนังสือ Presentation Canvas

เล่าเรื่องยังไงให้ทรงพลัง ใครก็อยากซื้อไอเดียคุณ

บทเรียนจากหนังสือ Presentation Canvas

ยิ่งนำเสนอเป็น นำเสนอเก่ง ยิ่งโคตรได้เปรียบในชีวิตและการทำงานครับ อาทิตย์ที่ผ่านมาเธมส์ได้มีโอกาสอ่านหนังสือ #PresentationCanvas ของพี่เก่ง สิทธิพงศ์ ผู้ก่อตั้ง Creative Talk Conference จาก สนพ. #Amarin อ่านจบแล้วรู้สึกว่า โอ้ เป็น Tools ในการใช้วางระบบความคิดในการนำเสนอที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์มากเลย อยากเอามาเล่าให้ฟังกันฮะ

Presentation Canvas เปลี่ยนการขาย เป็นการเล่าเรื่องให้โดนใจ (บาร์ใหม่)

พี่เก่งบอกว่าเราทุกคนเป็นนักขายโดยธรรมชาติ แค่ไม่รู้ตัว ชวนเพื่อนไปกินข้าวร้านเด็ด ป้ายยาเสื้อผ้า นาฬิกาออกกำลังกายรุ่นใหม่ให้เพื่อน นี่ขายหมดดด

การขายคือการโน้มน้าวใจคนอื่น, จะโน้มน้าวใจคนอื่นได้ต้องพูดในสิ่งที่คนอื่นอยากได้ยิน ต้องตรงกับปัญหาของเขา การออกแบบการ Presentation ที่ดีจึงสำคัญมากครับ

การนำเสนอที่ดี เราต้องเข้าใจก่อนว่า (1) เราเป็นคนที่สำคัญที่สุดในการพรีเซนต์ เพราะเราเป็นผู้พูด (2) แต่…คนที่มีอำนาจมากที่สุดในการตัดสินคือผู้ฟังนะจ้ะ (3) Pitch Deck, Presentation Slide เป็นแค่เครื่องมือเท่านั้นครับ สิ่งที่สำคัญกว่าคือสารที่เราสื่อและวิธีการสื่อสารของเรา

 

การทำ Presentation ที่ดีเริ่มจากไหน? ไม่ได้เริ่มที่คอมพิวเตอร์แน่นอนครับ แต่ต้องเริ่มที่ความคิด ใช้สมองกำหนดกลยุทธ์การสื่อสารก่อนเป็นอย่างแรก นั่นคือที่มาของการออกแบบ Presentation Canvas ของพี่เก่งครับ

 ความเห็นที่มีต่อ หนังสือ Presentation Canvas ของคุณเก่ง RGB72 |  Jakrapong.com

จะนำเสนอให้ดีได้ ต้องแบ่งการคิดเป็น 3 ส่วนครับคือ

(1) The Keys หรือ หัวใจสำคัญในการนำเสนอ

(2) Storyline เรื่องราวในการนำเสนอ และ

(3) The Supporters หรือข้อมูลสนับสนุน

ไปดูส่วนแรกก่อน (1) The Keys ต้องตอบ 4 อย่างนี้ได้คือ

[1] Audience ผู้ฟังคือใคร ทำการบ้านมาก่อน

[2] Objectives เราอยากได้อะไรจากการนำเสนอนี้

[3] Core Message เนื้อหาหลักคืออะไร คิดง่ายๆคือถ้าคนฟังจำได้แค่ประโยคเดียว ประโยคนั้นคืออะไร

[4] Place สถานที่นำเสนอคือที่ไหน บริบทอย่างไร สถานที่มีผลมากต่อรูปแบบครับ

—–

ส่วนที่ (2) Storyline ต้องตอบ 4 อย่างนี้คือ

[1] Problems ปัญหาของผู้ฟังคืออะไร

[2] Solutions จะแก้ปัญหาให้เขาได้ยังไง

[3] Benefits เขาจะได้ประโยชน์อะไร

[4] Call to action ผู้ฟังต้องทำอะไรต่อหลังจากฟังจบ

ส่วนสุดท้าย (3) The Supporters ข้อมูลประกอบการนำเสนอ 4 ประเภท ซึ่งมีครบ/ไม่ครบก็ได้ครับบบ คือ

[1] Storytelling เรื่องเล่าที่น่าสนใจ ที่สอดคล้องกับผู้ฟัง

[2] Compare เปรียบเทียบประโยชน์ เช่น ก่อน-หลังใช้ เป็นยังไง, features เราดีกว่าคนอื่นยังไง

[3] Testimonial คำยืนยันจากผู้ที่น่าเชื่อถือ ผู้ใช้งาน

[4] Weakness ป้องกันจุดอ่อน ตอบข้อโต้แย้งต่างๆยังไง หรือเปิดเผยจุดอ่อนของตัวเองยังไงให้ดูจริงใจและยังคงน่าเชื่อถือ

ใช้เวลาวางแผนการ Presentation ให้ครอบคลุม 3 ส่วน 12 องค์ประกอบนี้ จะช่วยให้การทำ Slide ต่างๆ เสร็จเร็วขึ้น ง่ายขึ้น และน่าเชื่อถือขึ้นอีกเยอะเลยครับ ใครอยากอ่านรายละเอียดลึกๆ (ซึ่งมีเยอะมากนะ)

ลองไปหามาอ่านกันดูครับบ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการนำเสนอให้ยอดเยี่ยมขึ้นทุกคนครับ จัดดดเลยยยย!

สนใจหนังสือ Presentation Canvas สอยกันได้ที่ด้านล่างครับ

https://s.shopee.co.th/4AjV1nnjZg

2050-125 : สร้างเวลาเพิ่มให้ตัวเองได้ ด้วยหลักการ ECRS

2050-125 : สร้างเวลาเพิ่มให้ตัวเองได้ ด้วยหลักการ ECRS

สร้างเวลาเพิ่มให้ตัวเองได้ ด้วยหลักการ ECRS #2050Podcast ep. นี้ เธมส์จะเอาเมาเล่าสู่กันฟังครับ — ps. หนังสือ รื้อ สร้าง ต่าง โต Reinvent inbox มาได้ที่ fb THINKต่าง by เธมส์ หรือ linkด้านล่าง https://bit.ly/2TEfHmw . หรือหาได้ SE-ED, นายอินทร์, Kinokuniya, B2S และทั่วไปครับ #เธมส์thinkต่าง