by เธมส์นที | Jun 1, 2021 | Tech
1
ปี 2012 บริษัท Danish Oil and Natural Gas ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของเดนมาร์กมีปัญหาด้านการเงินหนักมา บอร์ดบริหารเลยไปจ้าง Henrik Poulsen อดีต CEO ของ LEGO เข้ามาแก้ไขปัญหา
โดยปกติเวลาบริษัทเจอ Crisis ระดับนี้ สิ่งที่ CEO ใหม่เข้ามาแล้วมักทำเป็นอย่างแรกคือ การลดต้นทุนอย่างรวดเร็วผ่านวิธีการต่างๆไปเรื่อยๆจนกระทั่งตัวเลขของบริษัทกลับมาดีขึ้น
Poulsen ไม่ได้คิดแค่นั้น เขามองว่านี่คือโอกาสในการเปลี่ยนแปลงองค์กรตั้งแต่ระดับพื้นฐานใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เกิดการกลับมาอย่างยั่งยืนได้
สิ่งที่เขาทำคือการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น Ørsted ตามชื่อของ Hans Christian Ørsted นักวิทยาศาสตร์ในตำนานของเดนมาร์กผู้ค้นพบทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้า และรื้อ purpose องค์กรใหม่ โดยมุ่งไปต่อสู้กับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก (Climage change) โดยการใส่ใจในการผลิตพลังงานสะอาดให้กับโลกแทน
2
หลายคนบอกว่าเขาบ้า นี่คือ Mission Impossible แต่ Poulsen ค่อยๆพาองค์กรเปลี่ยนถ่ายจากพลังงานสกปรกไปสู่พลังงานสะอาด โดยโฟกัสไปที่การลงทุนการผลิตพลังงานลมนอกชายฝั่ง (Offshore wind power) ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนของเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็การขยายฐานการผลิตหลักเพิ่มขึ้นอีก 3 แห่ง ผ่านการสร้าง Wind farms ในมหาสมุทรที่สหราชอาณาจักร รวมถึงการซื้อบริษัทชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา
ผลคือ ในปี 2016 Poulsen พาบริษัทเข้าตลาดหุ้น และทำให้ Ørsted กลายเป็นหุ้น IPO ที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี มีกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 3 พันล้านดอลล่า ตั้งแต่เริ่มการเปลี่ยนแปลงองค์กร จนปัจจุบันกลายเป็นบริษัทพลังงานลมชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ไม่ใช่แค่ Ørsted เท่านั้นที่เปลี่ยนแปลง แล้วเติบโต อยู่รอดต่อไปได้ Netflix, Adobe, Microsoft, Ping An (ผิงอัน), DBS group และบริษัทที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนานอีกมากมายทั้ง Digital company/Traditional company ทุกคนต้องเปลี่ยนแปลง
3
ในฐานะของคนที่ทำหน้าที่ในด้านการสร้างนวัตกรรมองค์กร เธมส์หยิบหนังสือ Goliath’s Revenge ขึ้นมาอ่านด้วยความสนใจ หนังสือเล่มนี้สรุปถึงกฎ 6 ข้อที่เรา (องค์กรใหญ่) ต้องเล่นให้เป็น ถ้าอยากอยู่รอดในตลาด เติบโตต่อไป-ไปได้อีกหลายสิบปี ซึ่งประกอบด้วย
1) Deliver Step-Change Customer Outcomes
ต้องส่งมอบสิ่งที่สร้างผลลัพธ์ให้ลูกค้าที่ดีกว่าเดิมได้หลายเท่าอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
.
2) Pursue Big Innovation and Little Innovation
ต้องเปิดรับไอเดียใหม่ๆ ใส่ใจ กระตุ้นและทำให้เกิดการสร้างนวัตกรรมทั่วทั้งองค์กร ทั้งไอเดียใหญ่และไอเดียเล็ก ที่ทำให้องค์กรพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง โดยการสร้างกระบวนการในการสร้างนวัตกรรม (Innovation Process)
.
3) Use Data as currency
ต้องรู้จักใช้ข้อมูลให้เป็นประโยชน์ สำหรับการทำ Data analytics หรือการสร้าง AI ผ่านการทำ Machine Learning ที่จะช่วยให้เราสามารถ optimize business operation ต่างๆได้
.
4) Accelerate Through Innovation Networks
ต้องเร่งสปีดในสร้างนวัตกรรมผ่านการยอมให้คนอื่น (ทั้งภายใน/ภายนอก) เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างนวัตกรรมกับเราด้วย
.
5) Value Talent Over Technology
ต้องใส่ใจ ให้คุณค่ากับการพัฒนาคนผ่านทางการพัฒนาคนจากภายในควบคู่กับการจ้างคนจากภายนอก เพื่อให้สามารถ Implement เทคโนโลยี และนวัตกรรมได้
.
6) Reframe Your Purpose
ต้องเปลี่ยนกรอบของเป้าหมายองค์กรใหม่ Vision, mission องค์กรเป็นส่วนสำคัญมากที่จะบอกคนในองค์กรว่าเราจะทำอะไร และไม่ทำอะไร เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการให้คนในองค์กรสร้างสิ่งใหม่ๆ ออกจากกรอบเดิมให้ได้ เราก็ต้องให้ความชัดเจนด้วยการกำหนดเหตุผลของการมีอยู่และเป้าหมายขององค์กรใหม่ด้วย ว่าองค์กรต้องการจะสร้างคุณค่าอะไรให้กับใคร สิ่งนี้สำคัญมากๆครับ
4
จากกฎ 6 ข้อนี้ จริงๆแล้วเวลาจะนำไปใช้ ต้องเริ่มจากการคิดข้อ #6 ให้ได้ก่อน แบบที่ Poulsen ทำ องค์กรต้องสำรวจ ตรวจตราว่า เป้าหมายขององค์กรยังสอดคล้อง ยังทำให้องค์กรอยู่รอดได้หรือไม่ ถ้าไม่ ก็ต้องเปลี่ยน เพื่อเอื้อให้เกิดขอบเขตใหม่ๆให้คนในองค์กรได้ทดลอง ได้ค้นหา ได้สร้างสิ่งใหม่กันดู
หลังจากนั้นค่อยนำกฎข้อ #2, #3, #4, #5 มาใช้ มาสร้างสิ่งใหม่ควบคู่กันไป จนสุดท้ายทำให้องค์กรสามารถส่งมอบคุณค่าใหม่ให้ลูกค้าได้โดยอาศัยวิธีคิดในกฎข้อที่ #1 ในท้ายที่สุดนั่นเองครับ
ถ้าทำแต่อย่างเดิม องค์กรอาจอยู่รอดไปได้อีกแค่ไม่กี่ปี แต่ถ้าอยากให้องค์กรอยู่รอดได้ไปอีกหลายสิบปี องค์กรก็ต้องเริ่มทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำครับ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคน
อย่าลืมกดแชร์ออกไป และกดติดตามกันไว้นะครับ
เพื่อนๆจะได้ไม่พลาดสิ่งดีๆที่เธมส์จะเอามาเล่าให้ฟังบ่อยๆครับ : )
—-
ps. หนังสือเล่มใหม่ของเธมส์
รื้อ สร้าง ต่าง โต Reinvent – 34 วิธีรื้อค้นและสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ เพื่อพร้อมรับมือการทำงานในโลกอนาคต
หาได้ที่ SE-ED, นายอินทร์, Kinokuniya, B2S และทั่วไปครับ
เธมส์thinkต่าง
by เธมส์นที | Dec 26, 2020 | Tech, Work
เวลาเราพูดถึง Agile ในการทำงานบางคนจะเข้าใจว่า
อ๋อ พอเอา Agile มาใช้ในการพัฒนา Product ใหม่ หมายความว่าเราจะ Launch สินค้าออกสู่ตลาดได้ไวขึ้น หรืองานจะเสร็จตามแผนที่วางไว้ได้เร็วขึ้น ซึ่งจริงๆไม่ใช่เสมอไป
มุมมองของ Agile ไม่ใช่อยู่ที่เรื่องของ
“การเพิ่ม speed ในการทำงานให้เสร็จ”
แต่มันอยู่ที่
“Speed ในการตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลง”
เวลาพูดถึงการสร้างสิ่งใหม่ การสร้างนวัตกรรม เราจึงเห็นคำว่า Agile เข้ามาควบคู่กันเสมอ เพราะการทำงานมันต้อง Deal กับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก เจอกับความล้มเหลวในการทดสอบสมมติฐาน การถูกปฏิเสธไอเดียจากลูกค้าตลอดเวลา
การจะมานั่งวางแผนอย่างละเอียด ทำ Business Plan หนาๆ มีที่มาของตัวเลขเป๊ะๆ จึงไม่ใช่คำตอบของการทำงานที่เอื้อต่อการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วอีกต่อไป
(note: แต่ไม่ได้หมายความว่าทั้งองค์กรไม่ต้องทำนะ อย่าเข้าใจผิด Business ไหนที่มี building block ทางธุรกิจที่ settle แล้ว มีรากฐานในการ run ธุรกิจมั่นคงอยู่แล้ว การทำแผน ทำ forecasting ต่างๆ มันก็พอมีเหตุผลให้ดูแล้วสมเหตุสมผลอยู่ เพราะสมมติฐานทางธุรกิจที่สำคัญมันมีอยู่แล้ว)
Agile จึงเป็นเหมือน backbone เป็น core หลักคิด สำหรับคนที่ต้องทำงานในด้านการสร้างสิ่งใหม่ เพื่อให้สามารถหมุนวงล้อของการเรียนรู้ (feedback loop) และปรับตัว ปรับทิศทางให้กับการสร้างสิ่งใหม่ได้อย่างรวดเร็ว
แล้วจริงๆ Agile คืออะไร มันคือแบบไหน?
จริงๆเพื่อนๆไปหาอ่านทฤษฎีกันได้ครับ แต่เธมส์อยากจะชวนคุยด้วยวิธีคิดง่ายๆเลยคือ
แค่เราตั้งต้นจากเป้าหมายว่า “ฉันจะต้องปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วให้ได้” จากเป้าหมายที่ว่านี้ เราจะทำอย่างไรเพื่อทำให้ตัวเองหรือองค์กรสามารถปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงได้ไวขึ้นบ้าง?
- มี Transparency ในการสื่อสารมากขึ้นดีไหม?
- ลด Silo เพื่อให้การตัดสินใจในการทำงานไวขึ้นได้หรือเปล่า?
- สร้างทีมที่บริหารจัดการเสร็จสรรพในตัวเองได้ ตัดสินใจและลงมือทำได้รวดเร็ว?
- เมื่อ Requirement ของลูกค้า (ภายใน หรือภายนอก) เปลี่ยนไป เรายินดีจะคิด จะปรับแก้ให้ ไม่ได้เอาแต่บอกว่าก็ระบบมันเป็นแบบนี้ มันทำได้แบบนี้ มันทำกันมาแบบนี้?
- กล้ายอมรับกับความล้มเหลว เพื่อจะเปลี่ยนทิศทางไปหาโอกาสใหม่ได้ แทนที่จะไม่ยอมแพ้ ทู่ซี้อยู่กับสิ่งที่ไม่สร้างรายได้ ไม่สร้างโอกาส?
- และอื่นๆอีกมากมาย
ที่ผมเชื่อว่าเพื่อนๆก็คิดและทำได้ ถ้าตั้งโจทย์แบบนี้
เวลาเราพูดถึง Agile ในการทำงาน มันไม่ได้หมายความว่าเราจะออกสินค้า
เราจะทำงาน “เสร็จ” กันไวขึ้นหรอกครับ แต่สิ่งที่เราทำจะ “สำเร็จ” มากขึ้นตรงทิศตรงทางกับโลกมากขึ้น
ซึ่ง “เสร็จ” กับ “สำเร็จ” นี่ไม่เหมือนกันนะ
ออกสินค้าได้คือ เสร็จ เออ เสร็จละ จบละ
ส่วนจะขายได้ไม่ได้ ตอบโจทย์ลูกค้าไหมนี่อีกเรื่องหนึ่ง
แต่สำเร็จคือ ออกไปแล้ว ขายได้
ตอบโจทย์ลูกค้า มีประโยชน์ต่อคนอื่นจริงๆ
ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผลลัพธ์ของงานที่ออกมาต่างกันระหว่าง เสร็จ กับ สำเร็จ ในยุคนี้คือ “ความไวในการตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลง”
Product ที่เราเคยเชื่อว่าจะสำเร็จแน่ๆ มี requirement ชัดเจน มีตลาด มีเหตุผลรองรับชัดเจนจากผลการ survey เมื่อปีก่อน กับปีนี้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว กว่าจะทำออกมาได้ ตลาดก็เปลี่ยนไปแล้ว จากที่เคยคิดว่าจะสำเร็จ ก็กลายเป็นแค่เสร็จไปเฉยๆ
จากทั้งหมดที่เล่ามาต้องการจะบอกว่า การทำงานบนพื้นฐานความคิดของ Agile จึงสำคัญ เพราะมันจะทำให้คุณ steer ทิศทางของตัวเองให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่ถูกทิ้งไว้ในโลกการทำงานแบบเดิมนั่นเองครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ และอย่าลืมแบ่งปันออกไป ถ้าคิดว่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆของทุกคนครับ : )
ชวนติดตามช่อง #2050Podcast – พ็อดแคสต์ที่จะช่วยให้คุณรื้อค้น และสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ ให้พร้อมสำหรับการทำงานในโลกอนาคต
Apple podcast: apple.co/39u9zQI
Spotify: spoti.fi/36flUGo
Soundcloud: https://bit.ly/3dbj742
Podbean: www.podbean.com/ei/dir-dqcdd-7967659
เธมส์thinkต่าง #2050Podcast
by เธมส์นที | Jul 12, 2020 | Tech
เวลาพูดถึงรูปแบบธุรกิจแบบ Sharing economy และ Venture capital หรือธุรกิจที่นำเงินไปลงทุนถือหุ้นในบริษัทอื่นๆ คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พูดถึงชื่อของ Masayoshi Son ซึ่งเป็นชื่อที่โด่งดังมากใน 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ครับ อันดับแรกผมอยากชวนทุกคนคุยถึงคุณ Masayoshi Son กันก่อน
Masayoshi Son เป็นใคร?
เขาเป็นเจ้าของ Softbank ซึ่งเป็น บ.ด้านโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่น ซึ่งนอกจากเรื่องคมนาคมแล้ว Softbank ยังทำธุรกิจด้านการลงทุนต่างๆด้วย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ชื่อของ Son ออกมาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขางในช่วง 2-3 ปีหลัง ก็คือ การตั้งกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจ startup และ technology ที่ระดมทุนมาได้จากผู้คนและบริษัทในวงการเทคโนโลยีทั่วโลก เช่น เจ้าชายจาก Saudi Arabia, Apple, Foxxcon, Qualcom และอื่นๆรวมๆมูลค่ากว่าแสนล้าน USD ที่ชื่อว่า vision fund นั่นเอง
ซึ่งตัว Vision fund ลงทุนในอะไรบ้าง?
ปัจจุบันมีบริษัทที่ active ใน portfolio ของ vision fund อยู่ที่ 88 บริษัท เอาดังๆเลยคือ Alibaba e-commerce ชื่อดัง, Bytedance ที่ทำ app Tiktok ที่ทำให้พวกเราหลายคนค้นพบวิญญาณนักเต้นในตัวกันในช่วง Covid-19 นี้
และแน่นอนว่ากลุ่มธุรกิจหลักๆใน port ของ vision fund เลยคือธุรกิจในกลุ่ม sharing economy ต่างๆทั่วโลก เช่นด้าน ride-haling ก็จะมีทั้ง Uber Grab Didi, ถ้าเป็นด้านโรงแรมก็ OYO ของอินเดีย และที่ค่อนข้างฉาวโฉ่หน่อยในช่วงที่ผ่านๆมา ก็คือการลงทุนใน wework, startup ที่ไปเช่าที่ แล้วปล่อยให้คนมาเช่าแชร์ที่กันทำงานเป็น co-working space, co-office space นั่นเอง
ซึ่ง Son ออกมาพูดด้วยตัวเองเลยว่า
wework เป็นหนึ่งในความผิดพลาดในการลงทุนของเขาเลย
จุดเปลี่ยนจาก COVID-19
จริงๆในช่วงปี 2019 ที่ผ่านมา ถ้าเราผลประกอบการธุรกิจของ Softbank group ทั้งหมด ตัว Vision fund นี้เองกลายมาเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างกำไรในการดำเนินการ (operation profit) ให้บริษัทมากที่สุดแซงธุรกิจเดิมๆของ Softbank ไปเลยครับ ซึ่งจริงๆก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ
จนกระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไปหลังจากที่ Covid-19 เข้ามาครับ ล่าสุดในช่วงเดือน พ.ค. 2020 ที่ผ่านมา Vision fund ได้รายงานออกมาว่าพวกเขาขาดทุนอย่างมหาศาลกว่า 17,000 ล้านบาทเลยทีเดียวครับ
แล้ว Covid-19 กับ sharing economy มันเกี่ยวกันยังไง?
ต้องบอกว่าพอโลกเจอกับสถานการณ์ Covid19 ในช่วง 2 quarter ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายไปบ้างแล้ว แต่การคิดจะเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศก็ก็เลิกคิดกันไปก่อนได้เลย เราคงเห็นได้จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่กับธุรกิจการท่องเที่ยวและสายการบินของเรากันดีอยู่แล้วถูกไหมครับ
แต่ประเด็นที่อยากจะชวนคิดต่อก็คือ หลังจากเราเจอสถานการณ์ COVID กันมาเนี่ย ทุกคนยังมีความรู้สึกว่า เรายังสามารถ share การใช้สิ่งต่างๆกับคนอื่นได้อย่างสบายใจอยู่ไหม เราจะเชื่อมั่นคนอื่นที่มี share ของใช้กับเราได้จริงๆใช่ไหม ผมว่าเรากังวลกันมากขึ้นแน่ๆ
ซึ่งการที่ผู้บริโภคกังวลเรื่องนี้มากขึ้น อาจไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเลิกใช้มันทั้งหมดนะ แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ เจ้าของ platform จะมีมาตรการอย่างไร เพื่อจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานได้ว่า เรื่องพวกนี้คุณไม่ต้องกังวล
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคให้มากขึ้น นำมาสู่ cost ที่สูงขึ้นตามไปอีกทอดหนึ่งด้วย แล้วในสถานการณ์แบบนี้ที่ sharing economy มีปัญหา ทำให้รายได้หายไปมหาศาลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตัวผู้บริหารองค์กรจะรับมือ แก้ไขปัญหาเรื่องพวกนี้ยังไง VC จะยังเชื่อใจ และยอมรับการสูญเสียรายได้มหาศาลจากการลงทุนในรูปแบบธุรกิจแบบนี้อยู่หรือไม่ นี่คงเป็นเรื่องที่พวกเราต้องคอยติดตามกันต่อไปดูครับ
#เธมส์thinkต่าง #2050podcast
Source:
https://www.youtube.com/watch?v=ffcPg6GHLso – Bloomburg youtube vdo
https://telecoms.com/504717/can-the-sharing-economy-survive-covid-19/
Image credit: https://fortune.com/2019/07/25/term-sheet-thursday-july-25/