รู้จัก Strategic Thinking วิธีคิดที่ทำให้คุณก้าวนำคนอื่นตลอดเวลา

รู้จัก Strategic Thinking วิธีคิดที่ทำให้คุณก้าวนำคนอื่นตลอดเวลา

0. เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมบางคนถึงคิดล่วงหน้าและคาดการณ์สิ่งต่างๆได้เก่งจัง?

ทำไมบางคนถึงรู้ว่าองค์กรต้องทำอะไรถึงจะชนะคู่แข่งคนอื่นได้?

ทำไมบางคนถึงรู้ว่าเขาต้องพัฒนาตัวเองยังไงเพื่อก้าวนำหน้าคนอื่น?

คำตอบคือเขามี “วิธีคิดแบบเป็นกลยุทธ์” หรือ “Strategic Thinking” ครับ ถ้าเราอยากเป็นคนที่ก้าวนำหน้าคนอื่นตลอดเวลา เราต้องเป็นนักคิดแบบกลยุทธ์ให้ได้ครับ

แล้วมันคืออะไร ต้องคิดยังไง ฝึกได้ไหม? วันนี้เธมส์จะเอาบทเรียนจากหนังสือ The Six Disciplines of Strategic Thinking ของคุณ Michael D. Watkins ผสมกับเทคนิคส่วนตัวมาเล่าให้ฟังครับ

1. กลยุทธ์ (Strategy) คืออะไร?

ผมชอบคำอธิบายของ ดร.ธนัย ชรินทร์สาร มากครับ เข้าใจง่ายและเห็นภาพสุดๆ

ดร. บอกว่ามันคือสิ่งที่ทำให้เกิด

Superior long-term performance

Superior คือดีกว่า-เหนือกว่าคนอื่น

Long-term คือไม่ใช่แค่ในระยะสั้นแต่ต้องระยะยาว

Performance คือเกิดผลลัพธ์ที่ดี

สรุปคือ “สิ่งที่ทำให้เกิด Performance ที่เหนือกว่าคนอื่นในระยะยาว”

2. การคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic thinking) คืออะไร?

การคิดเชิงกลยุทธ์จึงเป็น วิธีคิดไปข้างหน้า โดยผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งภายนอก-ภายใน เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปได้ของอนาคตหลายๆแบบ ที่คุณจะเลือกเดินเพื่อสร้างความได้เปรียบให้ตัวเอง

คุณไม่ต้องทำงานในสายกลยุทธ์ คุณก็คิดเชิงกลยุทธ์ได้

3. โลกผันผวน Strategy จึงโคตรสำคัญ

โลกยุคนี้เรียกว่า VUCA world เป็นโลกที่ปัจจัยต่างๆมี

– ความผันผวน (Volatility)

– ความไม่แน่นอน (Uncertainty)

– ความซับซ้อน (Complexity)

– และความคลุมเครือ (Ambiguity) มาก ยิ่งวุ่นวายมาก การคิดเชิงกลยุทธ์ก็ยิ่งสำคัญ

4. VUCA ในทางปฏิบัติคืออะไร

เธมส์เอา VUCA มาอธิบายให้เห็นภาพจับต้องได้คือ สมมุติมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราสนใจ 4 ตัว ราคาน้ำมัน, ภาวะสงคราม, การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การเข้ามาของ AGI (Artificial General Intelligence)

– ราคาน้ำมัน วิ่งขึ้นลงไวมากในช่วงเวลาหนึ่งๆ อันนี้คือ ผันผวน (Volatility)
– ภาวะสงครามจะเกิด-ไม่เกิด อันนี้คือมี ความไม่แน่นอน (Uncertainty)

– พอมอง 4 ปัจจัยมาประเมินความสัมพันธ์กัน ปรากฎว่า เอ๊า ราคาน้ำมัน ก็เกี่ยวข้องกับภาวะสงคราม เกี่ยวกับนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เกี่ยวกับการพัฒนา AGI ด้วย ใช้พลังงานเยอะจัด! หลายปัจจัยเกี่ยวข้องมาก หัวจะปวด พอความสัมพันธ์ของปัจจัยมันหลากหลาย เลยเกิด ความซับซ้อน (Complexity) ขึ้น

– ทีนี้พอเรื่องที่เราสนใจมัน Complex มากๆ วิธีแก้ปัญหาของเราจะเริ่มคลุมเครือ (Ambiguity) แล้ว เอ๊ะ แก้ยังไงได้นะ ไม่มี playbook เว้ย แก้จากด้านเดียวก็ไม่ได้เว้ย เป็นงูกินหางอีก ก็ต้องนัวๆ กะๆ หาวิธีแก้จากหลายทางพร้อมกัน ทดสอบ de-risk กันไป

5. Strategic Thinking = RPM Process

จะคิดเชิงกลยุทธ์ ต้องทำกระบวนการ RPM คือ
.
[Recognize] รับรู้สถานการณ์ แกะ-วิเคราะห์ปัจจัย ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้อง

[Prioritize] จัดลำดับความสำคัญของประเด็นที่พบ สิ่งทีต้องแก้ไข/ปรับตัว

[Mobilize] ขับเคลื่อน สร้างทางเลือกในการแก้ปัญหา สร้าง vision และขับเคลื่อนคน

6. จะ [Recognize] กับ [Prioritize] ได้เก่ง ดี มี 3 สิ่งที่ต้องฝึก

[1] Pattern Recognition
ฝึกเรียนรู้ จดจำ Pattern ของสถานการณ์ เหตุการณ์ให้เก่ง อ่าน case study เยอะๆ วิเคราะห์ trend บ่อยๆ เราต้องเข้าใจ Pattern อดีตเพื่อวิเคราะห์-คาดการณ์ความเป็นไปได้ในอนาคตครับ (ใช้ Critical thinking ทำ Compare & Contrast ระหว่าง Pattern ที่มีในหัวเดิม กับเหตุการณ์ที่กำลังเจอ)

[2] Systems Analysis
ฝึกวิเคราะห์ระบบ แยกองค์ประกอบ หาความสัมพันธ์ และสร้างโมเดลระบบให้ได้ เพื่อ monitor ปัญหาและคาดการณ์ impact ได้ถูกจุด เช่น หา Bottleneck, ดู Threshold ของเรื่องที่สนใจ เพื่อเตรียมพร้อมเปลี่ยน mode การทำงาน หรือบังคับใช้มาตรการป้องกันพิเศษ ถ้าเกิดปัญหา

[3] Mental Agility
ฝึกคิดอย่างยืดหยุ่น รู้ว่าเมื่อไหร่ควรใส่ใจภาพใหญ่-ภาพเล็ก และเข้าใจทฤษฏีเกม เพื่อสร้าง Scenario และเลือกกลยุทธ์ที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งในระยะยาวได้

7. ต่อมาต้องมา [Mobilize] จะขับเคลื่อนกลยุทธ์ได้ ต้องทำอีก 3 สิ่ง (เลข [4]-[6])

[4] Structured Problem-solving
เมื่อรู้แล้วว่าปัญหาไหนสำคัญ แก้ก่อนหลังยังไง เราต้องแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบด้วย ถ้าเราอยู่ในองค์กร เราไม่ได้ลงมือทำเรื่องนี้คนเดียวแน่ๆถูกไหมครับ เพราะฉะนั้นมี 5 ขั้นตอนที่เราใช้แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบได้ คือ

(1) กำหนดบทบาทและสื่อสารกระบวนการว่าใครมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้บ้าง
(2) กำหนดกรอบปัญหาให้ชัด ให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน
(3) หาวิธีแก้ที่มีศักยภาพและเป็นไปได้
(4) ตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสม
(5) ลงมือครับ ลุย! จัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสม และรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง

[5] Visioning
สร้างวิสัยทัศน์เพื่อ convince และ motivate คนจ้าาา วิสัยทัศน์คือ “ภาพอนาคตที่เราอยากให้เป็นอย่างเฉพาะเจาะจง” ซึ่งบอกว่า “เราต้องทำอะไร” เพื่อไปให้ถึงภาพนั้น

เช่น SpaceX บอกว่า “To make life multi-planetary by establishing a self-sustaining city on Mars”,

Meta ตอนเปลี่ยนจาก facebook ก็พยายามจะบอกว่า “To bring the metaverse to life and help people connect, find communities, and grow businesses” หุๆๆ

[6] Political Savvy
เล่นการเมืองให้เป็น… ชีวิตจริงอ่ะเนาะ มันก็ต้องมีทั้งคนเห็นด้วย-ไม่เห็นด้วยในทุกการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว

เราต้องฝึกวิเคราะห์ Stakeholders และมีกลยุทธ์ในการ Influence คนด้วย เช่น แยกให้ได้ว่าใครเป็น กลุ่มผู้สนับสนุน-กลุ่มเป็นกลาง-กลุ่มผู้คัดค้าน, รู้ว่าควรคุยกับใครก่อน-หลัง เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ และสร้าง win-win solutions ให้ได้

8. สรุปทั้งหมดสั้นๆคือ

(1) โลก VUCA จัด เราต้องฝึก Strategic thinking ให้มี Superior long-term performance บ่อยขึ้น ใช้ได้กับทุกเรื่อง

(3) Strategic thinking คือกระบวนการ RPM (Recognize —> Prioritize —> Mobilize)

(4) จะ RP เก่ง ต้องฝึก [1] Pattern Recognition, [2] Systems Analysis, [3] Mental Agility

(5) จะ M ได้ ต้องฝึก [4] Structured Problem-solving, [5] Visioning, และ [6] Political Savvy

—-

“The Innovators Playbook”

– ปีนี้คิดว่าสิ่งที่เอามาเล่าให้ฟังจะมาใน Theme “The Innovators Playbook” ครับ
– เธมส์จะจัด Mindset, Skill, Knowledge มาให้อย่างต่อเนื่อง เอาให้ทุกคนมีคู่มือ (Playbook) ติดอาวุธที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้ตัวเองได้รวดเร็ว ตามสภาพแวดล้อมที่ก็หมุนไวซะเหลือเกินได้ครับ
– ฝากติดตาม Page และ 2050Podcast กันไว้ด้วยคร่าบบ จะได้ไม่พลาดสิ่งที่จะเอามาเล่าให้ฟัง หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคนครับบบบ  : )

ใครสนใจหนังสือ The Six Disciplines of Strategic Thinking เล่มนี้ดีเลย เธมส์ชอบบบ

มีแปลไทยแล้วด้วยโดย #amarin #howto ครับ สอยกันได้ที่ link ด้านล่างครับ

https://s.shopee.co.th/4fgJJj1nXf

เล่าเรื่องยังไงให้ทรงพลัง ใครก็อยากซื้อไอเดียคุณ บทเรียนจากหนังสือ Presentation Canvas

เล่าเรื่องยังไงให้ทรงพลัง ใครก็อยากซื้อไอเดียคุณ บทเรียนจากหนังสือ Presentation Canvas

เล่าเรื่องยังไงให้ทรงพลัง ใครก็อยากซื้อไอเดียคุณ

บทเรียนจากหนังสือ Presentation Canvas

ยิ่งนำเสนอเป็น นำเสนอเก่ง ยิ่งโคตรได้เปรียบในชีวิตและการทำงานครับ อาทิตย์ที่ผ่านมาเธมส์ได้มีโอกาสอ่านหนังสือ #PresentationCanvas ของพี่เก่ง สิทธิพงศ์ ผู้ก่อตั้ง Creative Talk Conference จาก สนพ. #Amarin อ่านจบแล้วรู้สึกว่า โอ้ เป็น Tools ในการใช้วางระบบความคิดในการนำเสนอที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์มากเลย อยากเอามาเล่าให้ฟังกันฮะ

Presentation Canvas เปลี่ยนการขาย เป็นการเล่าเรื่องให้โดนใจ (บาร์ใหม่)

พี่เก่งบอกว่าเราทุกคนเป็นนักขายโดยธรรมชาติ แค่ไม่รู้ตัว ชวนเพื่อนไปกินข้าวร้านเด็ด ป้ายยาเสื้อผ้า นาฬิกาออกกำลังกายรุ่นใหม่ให้เพื่อน นี่ขายหมดดด

การขายคือการโน้มน้าวใจคนอื่น, จะโน้มน้าวใจคนอื่นได้ต้องพูดในสิ่งที่คนอื่นอยากได้ยิน ต้องตรงกับปัญหาของเขา การออกแบบการ Presentation ที่ดีจึงสำคัญมากครับ

การนำเสนอที่ดี เราต้องเข้าใจก่อนว่า (1) เราเป็นคนที่สำคัญที่สุดในการพรีเซนต์ เพราะเราเป็นผู้พูด (2) แต่…คนที่มีอำนาจมากที่สุดในการตัดสินคือผู้ฟังนะจ้ะ (3) Pitch Deck, Presentation Slide เป็นแค่เครื่องมือเท่านั้นครับ สิ่งที่สำคัญกว่าคือสารที่เราสื่อและวิธีการสื่อสารของเรา

 

การทำ Presentation ที่ดีเริ่มจากไหน? ไม่ได้เริ่มที่คอมพิวเตอร์แน่นอนครับ แต่ต้องเริ่มที่ความคิด ใช้สมองกำหนดกลยุทธ์การสื่อสารก่อนเป็นอย่างแรก นั่นคือที่มาของการออกแบบ Presentation Canvas ของพี่เก่งครับ

 ความเห็นที่มีต่อ หนังสือ Presentation Canvas ของคุณเก่ง RGB72 |  Jakrapong.com

จะนำเสนอให้ดีได้ ต้องแบ่งการคิดเป็น 3 ส่วนครับคือ

(1) The Keys หรือ หัวใจสำคัญในการนำเสนอ

(2) Storyline เรื่องราวในการนำเสนอ และ

(3) The Supporters หรือข้อมูลสนับสนุน

ไปดูส่วนแรกก่อน (1) The Keys ต้องตอบ 4 อย่างนี้ได้คือ

[1] Audience ผู้ฟังคือใคร ทำการบ้านมาก่อน

[2] Objectives เราอยากได้อะไรจากการนำเสนอนี้

[3] Core Message เนื้อหาหลักคืออะไร คิดง่ายๆคือถ้าคนฟังจำได้แค่ประโยคเดียว ประโยคนั้นคืออะไร

[4] Place สถานที่นำเสนอคือที่ไหน บริบทอย่างไร สถานที่มีผลมากต่อรูปแบบครับ

—–

ส่วนที่ (2) Storyline ต้องตอบ 4 อย่างนี้คือ

[1] Problems ปัญหาของผู้ฟังคืออะไร

[2] Solutions จะแก้ปัญหาให้เขาได้ยังไง

[3] Benefits เขาจะได้ประโยชน์อะไร

[4] Call to action ผู้ฟังต้องทำอะไรต่อหลังจากฟังจบ

ส่วนสุดท้าย (3) The Supporters ข้อมูลประกอบการนำเสนอ 4 ประเภท ซึ่งมีครบ/ไม่ครบก็ได้ครับบบ คือ

[1] Storytelling เรื่องเล่าที่น่าสนใจ ที่สอดคล้องกับผู้ฟัง

[2] Compare เปรียบเทียบประโยชน์ เช่น ก่อน-หลังใช้ เป็นยังไง, features เราดีกว่าคนอื่นยังไง

[3] Testimonial คำยืนยันจากผู้ที่น่าเชื่อถือ ผู้ใช้งาน

[4] Weakness ป้องกันจุดอ่อน ตอบข้อโต้แย้งต่างๆยังไง หรือเปิดเผยจุดอ่อนของตัวเองยังไงให้ดูจริงใจและยังคงน่าเชื่อถือ

ใช้เวลาวางแผนการ Presentation ให้ครอบคลุม 3 ส่วน 12 องค์ประกอบนี้ จะช่วยให้การทำ Slide ต่างๆ เสร็จเร็วขึ้น ง่ายขึ้น และน่าเชื่อถือขึ้นอีกเยอะเลยครับ ใครอยากอ่านรายละเอียดลึกๆ (ซึ่งมีเยอะมากนะ)

ลองไปหามาอ่านกันดูครับบ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการนำเสนอให้ยอดเยี่ยมขึ้นทุกคนครับ จัดดดเลยยยย!

สนใจหนังสือ Presentation Canvas สอยกันได้ที่ด้านล่างครับ

https://s.shopee.co.th/4AjV1nnjZg

40 วิธีพัฒนาตัวเองในการทำงาน

40 วิธีพัฒนาตัวเองในการทำงาน

  1. พยายามสร้างนิสัยในการ Monitor งานใน portfolio ของตัวเองทุกวัน หาเครื่องมือ หาตัวช่วยในการบริหารงานที่เหมาะกับตัวเอง
  2. พยายามไม่ประชุมบ่อยๆ เพราะเค้าจ้างคุณมาทำงาน ไม่ใช่มาประชุม (แต่ก็ขึ้นกับระดับของตำแหน่งด้วย) วิธีสื่อสารมีหลายรูปแบบ เลือกใช้ให้เหมาะสม เราไม่จำเป็นต้องจัดประชุมเสมอไป
  3. แต่ถ้าต้องประชุม ให้คิดไปก่อนเสมอว่า ต้องประชุมต่อหน้า หรือ virtual ก็ได้ วัตถุประสงค์คืออะไร จะควบคุมทิศทางยังไง และคุณต้องการผลลัพธ์อะไร โดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด
  4. อย่าเข้าไปขอแนวทางแก้ปัญหาจากใคร ถ้าไม่ได้คิดวิธีของตัวเองไว้ก่อน
  5. เวลาเกิดข้อขัดแย้งในเรื่องต่างๆ ตั้งคำถาม focus ไปที่แนวทางแก้ปัญหาเพื่อให้งานมันเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่มานั่งโทษกันไปโทษกันมา เพราะมันไม่ได้มีประโยชน์ต่อทั้งตัวพวกคุณเอง และองค์กร
  6. พยายามเรียนรู้งานของหน่วยงานข้างเคียงให้มากที่สุด เพราะมันจะทำให้คุณเห็นภาพรวมมากขึ้น
  7. ถ้านั่งคิดหาทางแก้ไขปัญหามานานแล้ว ยังคิดไม่ออก ให้ออกไปเดินเล่นซัก 5 นาที แล้วกลับมาคิดใหม่
  8. เวลาประชุมใหญ่กับคณะผู้บริหารใหญ่ ให้ตั้งใจฟัง ถามตัวเองว่าถ้าฉันเป็น CEO บริษัท ฉันจะให้ direction กับคนทำงานยังไง หรือเมื่อนั่งฟังสิ่งที่คนอื่น present ให้ถามตัวเองว่า ฉันจะทำให้ดีกว่านี้ได้ยังไง?
  9. จงฝึกเป็นคนที่มาพร้อมกับวิธีแก้ไขปัญหา ไม่ว่าใครมาหาคุณ คุณต้องมีทางออกให้เสมอ แต่…คุณไม่จำเป็นต้องบอกคำตอบทุกครั้ง อาจจะตั้งคำถาม หรือให้แค่ guideline กลับไป เรื่องบางเรื่องเขาต้องฝึกคิดเองให้ได้ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็มาถามทุกเรื่อง
  10. วิ่งเข้าหางาน ไม่ใช่รอให้งานวิ่งเข้าหา เพราะถ้างานวิ่งเข้าหาคุณเมื่อไหร่ มันจะเป็นงานด่วนทุกครั้ง
  11. พยายามทำงานตาม To do list ให้เสร็จให้หมด โดยไม่ต้องทำ OT
  12. อย่าประชุมนาน ถ้าคุณประชุม 1 ชั่วโมง คนประชุม 10 คน นั่นหมายถึงคุณกินเวลาทั้งหมด 10 ชั่วโมง ไม่ใช่ 1 ชั่วโมง
  13. ก่อนจะทำงานเอกสาร หรือทำ presentation slide ให้ “เขียน” ร่างภาพรวม, story board, ออกมาให้หมดก่อน การเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่เคยทำให้คุณคิดออก มันเสียเวลา
  14. หาวิธีทำงานให้คุณออกแรงน้อยที่สุด แต่ได้ผลงานดีที่สุด เพราะคุณจะมีพลังไปทำงานอื่นๆได้ในปริมาณที่มากกว่าที่คนทั่วๆไปทำ จะทำเรื่องนี้ได้ต้องเข้าใจว่าองค์กรให้ความสำคัญกับเรื่องไหนเพื่อเรียงลำดับความสำคัญของ project ที่ต้องทำให้ได้ และต้องรู้จักวิธีบริหารพลังงานของตัวเองด้วย
  15. สอนงานให้เป็น การสอนงานไม่ใช่การสั่ง อย่าเข้าใจผิด แต่ก็ต้องรู้จักสั่งงานให้เป็นด้วย การสั่งงานเป็นคือการสั่งงานที่ชัดเจน คนรับงานเข้าใจที่มาของงาน เข้าใจว่าวัตถุประสงค์คืออะไร อะไรคือ expected result และต้องส่งมอบภายในระยะเวลาเท่าไหร่
  16. หัดติดตามยอดขาย ต้นทุน กำไรและกลยุทธ์ของบริษัทบ้าง เพราะนี่คือสิ่งสำคัญที่แสดงถึงทิศทางในการเติบโตของบริษัท ซึ่งแน่นอนว่าหมายถึงโอกาสและทิศทางในการเติบโตของตัวคุณเองด้วย
  17. มีความเป็นผู้นำ ทำในสิ่งที่ควรทำ สิ่งที่ถูกต้อง เสียสละในสิ่งที่จำเป็น
  18. ถามตัวเองเสมอว่า ทำไมต้องทำงานขั้นตอนนี้ ขั้นตอนนั้น หรือทำไมงานถึงมี process แบบนี้ ไม่ใช่แบบนั้น เพื่อฝึกให้คุณได้คิด และพัฒนา process การทำงานใหม่ๆให้ไวกว่าเดิมอยู่เสมอ
  19. งานด่วนที่คน email มาขอส่วนใหญ่ ไม่ใช่งานด่วนจริงๆ เพราะถ้าด่วนจริงๆ เค้าจะต้องโทรมาหาคุณ ไม่ใช่ email มา
  20. อย่าเสียเวลาตอบ email นาน นั่นไม่ใช่งานหลักของคุณ
  21. จัดโต๊ะทำงานในแบบที่คุณชอบ เพราะคุณต้องอยู่กับมันเกือบทุกวัน มันจะทำให้คุณมีพลังมากขึ้น
  22. จัดโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบเสมอ วางของในที่ๆควรวาง วางงานให้เป็นหมวดหมู่ เมื่อทุกอย่างอยู่ในที่ๆควรจะเป็นของมัน คุณจะประหยัดเวลาในการมาหางานของตัวเอง
  23. งานที่ควรทำเป็นอันดับแรก คืองานที่สำคัญ+เร่งด่วน+คนอื่นทำต่อไม่ได้ถ้าไม่ได้งานจากคุณ
  24. ความดีต้องยกให้ลูกน้อง แต่ถ้าลูกน้องทำผิด คุณต้องออกรับแทน เพราะการดูแลทีมงานให้ดีมันเป็นหน้าที่ของหัวหน้า ลูกน้องพลาดหมายถึงคุณพลาดในฐานะหัวหน้าเช่นกัน
  25. กล้ารับงานท้าทายที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้ารับ เพราะมันจะทำให้คุณแตกต่างจากคนส่วนใหญ่
  26. พยายามทำงานที่มีแต่คุณเท่านั้นที่ทำได้ ถ้างานไหนใครๆก็ทำได้ ให้กระจายให้คนอื่นทำ
  27. ทำงานเกินตำแหน่งของตัวเองเสมอ ช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่ทำได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ไปลงมือทำงานแทนเขา ทุกคนมี scope งานของตัวเอง และทุกคนต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองให้ดีให้ได้
  28. อ่อนน้อมถ่อมตน และเป็นคนสุภาพ ความอ่อนน้อมไม่ได้หมายความว่าต้องยอมคนอื่น เรายังต้องยืนหยัดต่อสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง และให้ความเคารพคนอื่น ถึงแม้จะมีความเห็นต่างก็ตาม
  29. การทำงานที่ใช้เวลานาน แต่งานไม่เสร็จตาม list ที่ตั้งไว้เลยซักอย่าง ไม่ได้หมายความว่าคุณขยัน คุณทำงานหนัก แต่หมายความว่าคุณทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
  30. ในช่วงเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ การตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมายให้มาก ทำให้เยอะๆนั้นดี แต่พอถึงจุดๆหนึ่งที่คุณเริ่มเข้าใจงานของตัวเองอย่างดีแล้ว การแบ่งเวลาไปศึกษาเรื่องใหม่ๆ ไปลองลงมือทำสิ่งใหม่นอกเวลาการทำงาน จะทำให้คุณมีทักษะใหม่ๆซึ่งทำให้คุณเก่งแบบก้าวกระโดดได้มากกว่า และยังนำทักษะเหล่านั้นกลับมาใช้ในงานประจำได้ด้วย
  31. ยอมรับฟังคำวิจารณ์ที่ควรฟัง เข้าใจว่าคำวิจารณ์ไหนคือคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ เพราะมันทำให้คุณรู้จุดอ่อน และรู้ว่าคุณต้องพัฒนาอะไร แต่ก็อย่าไปใส่ใจกับคำวิจารณ์ที่ไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ให้เสียความรู้สึกโดยไม่จำเป็น
  32. Start with WHY ไม่ว่าจะเรื่องไหนๆ เพราะไม่มีใครสนว่าคุณทำอะไร (WHAT) เค้าสนแต่ทำไม (WHY) คุณถึงทำ และสิ่งที่จะทำให้คุณแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ที่เอาแต่พูด เอาแต่บอกว่าตัวเองรู้ว่าต้องทำอะไร (WHAT) คือคุณต้องรู้ว่า ไอ้สิ่งที่ว่ามันต้องทำยังไง (HOW) ด้วย
  33. ฝึกเล่าเรื่องให้เป็น present งานให้ได้ คนเล่าเรื่องเป็น present งานได้ จะได้เปรียบกว่าเสมอ
  34. ชีวิตไม่ได้มีแต่งาน บริหารเวลาในภาพรวมของชีวิตตัวเองให้เหมาะสม อย่าลืมพักผ่อนให้พอ แบ่งเวลามาออกกำลังกายบ้าง มีเวลาดูแลคนที่คุณรัก สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความสุขในภาพรวมของชีวิตได้ อย่าเอาสิ่งที่เสียไปแล้วจะหากลับมาใหม่ไม่ได้ มาแลกกับ สิ่งที่เสียไปวันนี้ วันหน้าก็หากลับมาใหม่ได้ มันไม่คุ้มกัน
  35. ฝึกมองความสำคัญ และความเร่งด่วนของงานจริงๆให้ออก บางอย่างมันไม่ได้สำคัญ และเร่งด่วนขนาดนั้นจริงๆหรอกครับ ถ้าทำได้ ให้หาทางตัดงานออกไปเลย
  36. วิธีการสื่อสารสำคัญมาก สารที่ใช้สำคัญมาก ต้องรู้จักใช้คำพูดให้เป็น ความหมายเดียวกัน แต่วิธีพูดต่างกัน วิธีที่ใช้สื่อสารต่างกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็ต่างกัน จะเป็นผู้นำที่ดีได้ ต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วย
  37. ต้องเชื่อใจคนอื่น อย่าไปควบคุมทั้งหมด คุณต้องยอมให้เกิดความผิดพลาดในระดับที่รับได้ เพื่อฝึกให้เกิดการเรียนรู้ เพราะถ้าไม่เกิดการเรียนรู้ ก็ไม่มีความก้าวหน้า ถ้าคิดแต่จะทำให้ทุกอย่างเป็นอย่างใจในทุกรายละเอียด นั่นคือคุณเชื่อใจแต่ตัวเอง คุณต้องทำงานนั้นด้วยตัวเอง คุณทำงานเป็นทีมไม่ได้ คุณเชื่อใจลูกน้องไม่ได้ นั่นคือกับดักที่ทำให้คุณเป็นได้แค่คนปฏิบัติงานที่ดี แต่ไม่มีทางเป็นหัวหน้าที่ดีได้เลย
  38. คุณไม่ใช่ Superman อย่าเก็บงาน เก็บปัญหาทุกอย่างไว้กับตัวเองคนเดียว ต้องกระจายงานออกไป และถ้าปัญหาไหน คุณไม่ใช่คนที่มีอำนาจตัดสินใจ ก็ต้องส่งปัญหาไปถึงคนที่มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องนั้นๆ อย่าเสียเวลาปวดหัวในสิ่งที่คุณตัดสินใจไม่ได้ คุณให้ข้อมูลที่จำเป็นได้ เสนอความคิดได้ แต่การตัดสินใจนั้นไม่ใช่หน้าที่ของคุณ
  39. ต้องหัดปฏิเสธอย่างสุภาพให้เป็น การปฏิเสธอะไรซักอย่างหนึ่ง คือการเปิดโอกาสให้คุณได้ทำอะไรอีกอย่างหนึ่งไปพร้อมๆกัน เราไม่สามารถทำตามความต้องการของคนอื่นได้ทุกอย่าง ทุกเวลา แต่อะไรที่พอช่วยคนอื่นได้ ก็ควรช่วย
  40. และสุดท้ายคุณต้องแตกต่างจากคนอื่นๆที่ทำงาน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งการจะแตกต่างได้ ไม่ได้เกิดจากงานที่คุณได้รับมอบหมายอย่างเดียว แต่เกิดจากการเรียนรู้สิ่งใหม่และนำมาทดลองใช้ในการทำงานอย่างต่อเนื่องควบคู่กันไปด้วยครับ

อย่าลืมแบ่งปันออกไป ถ้าเป็นประโยชน์นะครับ : )

🚀กดติดตามและฟัง #2050Podcast ได้ที่
.
Blockdit: https://bit.ly/3DtHVSQ
Apple: https://apple.co/2Ww5jhN
Spotify: https://spoti.fi/38m3g2l
Podbean: https://bit.ly/3gHSLuO
soundcloud: https://bit.ly/3kAkcrG

youtube: https://youtu.be/gZ8WVSBVmOE
—-
ps. 📖 หนังสือ รื้อ สร้าง ต่าง โต Reinvent
inbox มาได้ที่ fb THINKต่าง by เธมส์ หรือ linkด้านล่าง
https://bit.ly/2TEfHmw
.
หรือหาได้ SE-ED, นายอินทร์, Kinokuniya, B2S และทั่วไปครับ


เธมส์thinkต่าง #2050Podcast

เมื่อ Passion นำไปสู่การ Burnout ต้องทำอย่างไร

เมื่อ Passion นำไปสู่การ Burnout ต้องทำอย่างไร

ย้อนกลับไปซัก 4-5 ปีที่แล้ว มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธมส์รู้สึกว่าตัวเองมีเป้าหมายที่อยากทำให้ได้ไวๆ มีพลัง มีไฟ มี passion ในการอยากลงมือทำสิ่งนั้นให้เต็มที่ หามรุ่งหามค่ำ นอนตีหนึ่งตีสองก็ไม่เป็นปัญหา ถือคติดว่า

“เหนื่อยตอนนี้ให้เต็มที่ อนาคตจะได้ไม่ต้องเหนื่อย”


เช้าวันหนึ่งขณะที่ผมขับรถไปทำงานตามปกติ อยู่ดีๆก็เกิดหลับในขึ้นมาครับ โชคดีที่ไม่ได้ขับรถเร็ว และเลนข้างๆไม่มีรถ ตัวเองก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาในจังหวะที่รถเริ่มเฉพอดี
นอกจากนี้ ผมเริ่มสังเกตเห็นว่าตัวเองมีความสามารถในการอดทนต่อแรงกดดันได้น้อยลง คุมสติ คุมอารมณ์ไม่ให้หงุดหงิดเมื่อเจอกับเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากแผนการที่วางไว้ได้ไม่ดี แถมพอพลังไม่ค่อยเสถียร ก็จะกลายเป็นหมดพลังในการทำงานไวไปซะเฉยๆ
นั่นคือสถานการณ์ที่ผมเริ่มตระหนักว่า Passion ที่มีกำลังนำไปสู่การ Burnout และนี่คงไม่ใช่วิธีการที่ดีต่อภาพรวมของชีวิตแน่ๆ

Fast forward ชีวิตมาในปัจจุบัน ผมได้เรียนรู้วิธีคิดหลายๆอย่าง และหยิบจับสิ่งที่คิดว่าพอจะทำให้ตัวเองวิ่งใน mode ที่เรียกได้ว่า
“มีความสุขกับการค่อยๆเดินไปข้างหน้าในฝีเท้าสม่ำเสมอของตัวเองได้”
ซึ่งเธมส์ไม่ได้บอกว่าถูกหรือผิด หรือเหมาะสมกับทุกคนหรือไม่ (เพราะ stage และบริบทในชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน) แต่อยากลองเอามาแบ่งปันให้ฟังกันดู

1) Passion ไม่ใช่ปัญหา แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือวิธีการบริหารเวลา บริหารพลังงานเพื่อทำตาม Passion
.
2) ความเหนื่อยในอนาคตก็ไม่ใช่ปัญหา ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยมากสุดๆวันนี้ เพื่อคิดว่าอนาคตจะไม่ต้องเหนื่อยเลย ไม่ต้องทำงานเลย
.
3) เพราะชีวิตที่ดี มีคุณค่าต่อโลกภายในของตัวเอง มีคุณค่าต่อคนอื่นคือชีวิตที่มีงานทำ (ตามองค์ประกอบของ Ikigai)
.
4) เราไม่ควรออกแรง ไม่ควรใช้พลังงานชีวิตแบบ Burst คือระเบิดพลังตู้มเดียวแล้วหมดจนเป็นปกติ การออกแรงแบบ Burst ให้เก็บไว้เป็นท่าไม้ตาย ใช้ในช่วงที่จำเป็นต้องใช้ เพราะมันส่งผลเสียต่อด้านอื่นๆในชีวิตด้วย
.
5) ซึ่งพอบอกว่าไม่ควรใช้พลังแบบ Burst จนเป็นปกติ ก็ไม่ได้หมายความว่าให้สบายๆ ชิลๆ จนชีวิตเหี่ยวเฉา แต่ควรลงมือทำในปริมาณที่มากพอที่จะทำให้เกิดการเดินไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอในระดับฝีเท้าของตัวเอง
.
6) อย่าสับสนระหว่าง “ความรู้สึกก้าวหน้าจากการเรียน” กับ “ความรู้สึกไม่ก้าวหน้าจากการลงมือทำจริง” อย่างหลังอาจไม่ทำให้รู้สึกถึง achievement แต่กลับก้าวหน้ากว่าในความจริงเพราะได้ลงมือทำ
.
7) การนอนให้พอคือทุกสิ่ง คุณภาพชีวิตกับผลลัพธ์ที่จะสร้างในวันพรุ่งนี้ ขึ้นอยู่กับปริมาณและคุณภาพในการนอนของคืนก่อนหน้า
หวังว่า ความคิดเหล่านี้ จะพอเป็นประโยชน์ให้ทุกคนนำไปใช้ต่อจุดความคิดเพิ่มบางอย่างได้ครับ : )

ps. หนังสือ รื้อ สร้าง ต่าง โต Reinvent – 34 วิธีรื้อค้นและสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ เพื่อพร้อมรับมือการทำงานในโลกอนาคต

หาได้ที่ SE-ED, นายอินทร์, Kinokuniya, B2S และทั่วไปครับ

หรือ click ด้านล่างเพื่อ Inbox เข้ามาได้

Link: Fb: THINKต่าง by เธมส์

ทำไมคนนั้นถึงเป็นหัวหน้าที่ดีจัง? Presence / Power / Warmth, 3 องค์ประกอบที่ต้องใช้อย่างเข้าใจ ถ้าอยากเป็นหัวหน้าที่ดี

ทำไมคนนั้นถึงเป็นหัวหน้าที่ดีจัง? Presence / Power / Warmth, 3 องค์ประกอบที่ต้องใช้อย่างเข้าใจ ถ้าอยากเป็นหัวหน้าที่ดี

ทำไมคนนั้นถึงเป็นหัวหน้าที่ดีจัง? Presence / Power / Warmth, 3 องค์ประกอบที่ต้องใช้อย่างเข้าใจ ถ้าอยากเป็นหัวหน้าที่ดี


1

Presence / Power / Warmth

ผมรู้จัก 3 องค์ประกอบนี้ครั้งแรกจากหนังสือ The Charisma Myth ซึ่งว่าด้วยศาสตร์แห่งการทำยังไงให้ตัวเองเป็นคนมีเสน่ห์ น่าติดตาม น่าดึงดูด โดยผู้เขียนคือคุณ Olivia Fox Cabane

โดย Presence คือ การทำให้คนอื่นรู้สึกว่า คุณอยู่กับเขาตรงนั้น คุณ be there กับเขาตรงนั้น คุณมองเห็นเขา และเขาก็มองเห็นคุณ

Power คือ พลัง ความมุ่งมั่น หรือการแสดงออกหรือกระทำใดๆที่บ่งบอกว่าคุณมีความมั่นใจที่จะแสดงศักยภาพบางอย่างออกมา คุณสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้

Warmth คือ ความอบอุ่น การทำให้คนอื่นรู้สึกสบายใจ ปลอดภัย เบาใจ สร้างผลกระทบด้านบวกได้

2

จริงๆแล้วเราแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์ที่เป็นตัวของตัวเอง มีองค์ประกอบที่เด่นชัดตามลำดับแตกต่างกันไปบางคนอาจมี Power มากกว่า Warmth บางคนอาจมี Warmth มากกว่า Power แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบแรกหรือหลัง เราต้องมีความสามารถในการสร้าง Presence ได้เป็นอย่างแรกก่อน

ปราศจากการทำให้คนอื่นรู้สึกว่าคุณอยู่ตรงนั้นกับเขา ไม่ว่าจะ Power หรือ Warmth ที่คุณแสดงออกไป ก็จะไม่ได้รับการมองเห็นและเข้าใจเลยอยู่ดี

3

ผู้นำที่เราเห็นว่าดี เขามักจะมีทั้ง 3 องค์ประกอบนี้อยู่ในตัวเอง และเลือกใช้ออกมาในสถานการณ์ ในบริบทที่แตกต่างกันไปได้อย่างเหมาะสมเวลาลูกน้องเจอปัญหา อุปสรรคในการทำงานที่เกินจะแก้ไข หรือต้องการการ support เรามีความสามารถในการ project presence กับ power ออกมาได้ไหม

เรารู้ไหมว่านี่คือสิ่งที่เราต้องทำเวลาลูกน้องต้องการการ support ทางจิตใจ อยากหาคนพูดคุย ต้องการคนเข้าใจ อาจจะด้วยการเจอปัญหาหนักหน่วงไม่ว่าจะจากทางบ้าน หรืออะไรก็แล้วแต่

เรามีความสามารถในการ project presence และ warmth ออกมาให้เขาในสถานการณ์นั้นได้หรือเปล่าเราจับสถานการณ์ได้หรือเปล่าว่า เมื่อไหร่เราต้อง project องค์ประกอบไหนออกมา สิ่งไหนก่อน-หลังอย่างไรหากใครทำได้ เขาคนนั้นจะได้รับความเชื่อใจจากทีมงาน

และแน่นอนว่า…คนรอบตัวจะมองเขาว่าเป็นหัวหน้าที่ดี ลองเอา 3 สิ่งนี้ไปฝึกใช้ให้เหมาะสมกันดูครับ : )

—-

ps. หนังสือ รื้อ สร้าง ต่าง โต Reinvent – 34 วิธีรื้อค้นและสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ เพื่อพร้อมรับมือการทำงานในโลกอนาคตหาได้ที่ SE-ED, นายอินทร์, Kinokuniya, B2S และทั่วไปครับ

#เธมส์thinkต่าง

ใช้ The Partition Dependence Effect เพื่อสร้าง Diversity ให้องค์กรได้อย่างไร?

ใช้ The Partition Dependence Effect เพื่อสร้าง Diversity ให้องค์กรได้อย่างไร?

1. ทำไม Harvard Business Review เลิกจัดอันดับ CEO

เมื่อไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสเปิดอ่านนิตยสาร Harvard Business Review (HBR) ฉบับเดือน พ.ย. 2020 คุณ Adi Ignatius ซึ่งเป็น Editor in chief ได้เขียนประกาศไว้ในตอนช่วงต้นของนิตยสารว่า “เราตัดสินใจที่จะเลิกเรื่องการจัดอันดับ CEOs เป็นที่เรียบร้อยแล้ว” 

ถ้าใครเป็นคนอ่าน content เยอะๆ หรือนักผลิต content มือดี น่าจะพอรู้ดีว่า content ประเภทการจัดอันดับเป็นหนึ่งในสิ่งที่ได้รับความนิยมจากผู้อ่านเป็นอย่างมาก คำถามคือทำไม HBR ถึงเลิกทำเรื่องนี้?

คุณ Adi บอกว่าตั้งแต่ปี 2014 ที่พวกเขาเริ่มทำการจัดอันดับ CEO ในทุกปี เรามักเห็นว่ากลุ่มคนที่ตบเท้าเข้ามาในรายชื่อเกือบทั้งหมดจะเป็นผู้ชาย และส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาวด้วย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เกิดการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในเรื่องของความเท่าเทียมในการทำงาน 

เพื่อไม่ส่งเสริมให้เกิดความแตกแยกและผลักดันให้เกิดความหลากหลาย (Diversity) ของคนทำงาน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม HBR ตัดสินใจเลิกทำเรื่องนี้นั่นเองครับ


2. Diversity ในองค์กร

ในยุคที่องค์กรกำลังให้ความสนใจในด้านการสร้างนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ซึ่งต้องอาศัยความแตกต่างที่เติมเต็มของผู้คนในองค์กรเป็นตัวขับดัน 

ขณะเดียวกันกับที่ทั่วโลกก็หันมาให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมในด้านสิทธิมนุษยชน การเคารพในความแตกต่าง ความหลากหลายของชาติพันธุ์ (Ethnicity) ในการทำงานกันมากขึ้น 

ในฐานะขององค์กร เราจะมีวิธีการเพิ่มความหลากหลาย (Diversity) ของคนทำงานให้สอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่ต้องการในองค์กรได้อย่างไร?


3. ออกแบบกระบวนการตัดสินใจ (Choice Architecture)

มีนักวิจัยอยู่กลุ่มหนึ่งพยายามหาวิธีในการออกแบบกระบวนการที่ช่วยสร้างทางเลือกในการตัดสินใจ (Choice architecture) ในกระบวนการจ้างงานเพื่อให้ได้คนทำงานใหม่ที่มีความหลากหลายมากขึ้น

พวกเขาเลยทำการทดลองโดยการจัดเรียง/จัดกลุ่ม Resume ของผู้สมัครงานว่ามีผลต่อการตัดสินใจและ diversity ในการคัดเลือกอย่างไร

โดยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองลองจินตนาการว่าเขาเป็น recruiter และโจทย์คือเขาต้องเลือกคนเข้ามาสัมภาษณ์งาน 3 คน จากผู้สมัครเข้ามาทั้งหมด 8 คน โดยแบ่งกลุ่มการทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม 

กลุ่มแรก นักวิจัยได้จัดเรียงลำดับ resume ของผู้สมัคร โดย 4 คนแรกเป็นชาย และ 4 คนหลังเป็นหญิง ขณะที่กลุ่มที่สอง Resume จะถูกเรียงมาแบบสุ่ม

ผลปรากฎว่ากลุ่มคนที่ได้รับ resume ที่จัดเรียงแบบ 4 ชาย 4 หญิง จะเลือกคนมาสัมภาษณ์ที่มี diversity มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากการทดลองนี้ พวกเขายังลองเอาผู้สมัครมาเรียงด้วยเชื้อชาติและมหาวิทยาลัย ปรากฎว่าความหลากหลายก็มากขึ้นเช่นเดียวกัน และที่สำคัญคือค่าเฉลี่ยความสามารถของคนที่ถูกเลือก (ซึ่งในที่นี้วัดด้วยตัว GPA) ก็ยังอยู่ในระดับสูง หมายความว่า Diversity ที่มากขึ้นไม่ได้ทำให้ความสามารถของพนักงานที่เข้ามาลดลงเลย


4. The Partition Dependence Effect คืออะไร?

จากผลการทดลอง นักวิจัยเรียก Effect นี้ว่า “The Partition Dependence Effect” ครับ ซึ่งถ้าให้พูดโดยสรุปคือ

“ถ้าเราถูกขอให้เลือกตัวเลือกบางตัวจากตัวเลือกที่มีการแบ่งกลุ่มจัดสรรไว้ชัดเจน เรามีแนวโนมที่จะพยายามเลือกตัวเลือกให้ครอบคลุม กระจายมาจากทุกกลุ่มเสมอ”

เรื่องที่นำมาเล่าให้ฟังนี้หมายความว่า เราสามารถออกแบบกระบวนการที่ช่วยเอื้อต่อการตัดสินใจให้ได้ผลลัพธ์ตามโจทย์ที่เราต้องการได้ (Choice architecture) ซึ่งหากองค์กรต้องการความหลากหลายของคนทำงาน หนึ่งในวิธีการที่ทำได้คือการออกแบบมันตั้งแต่กระบวนการจัดการข้อมูลผู้สมัคร ตั้งแต่การทำ recruitment เพื่อให้ได้องค์กรที่มี Diversity มาสร้างนวัตกรรม สร้างสิ่งใหม่ตามสิ่งที่ตัวองค์กรอยากได้มากขึ้นนั่นเองครับ

หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ : )


ชวนติดตามพ็อดคาสต์ 2050 Podcast พ็อดคาสต์ที่จะช่วยให้ทุกคนรื้อค้นและสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ให้พร้อมสำหรับการทำงานในโลกอนาคตได้ในช่องทางที่ถนัด

Apple podcast: apple.co/39u9zQI

Spotify: spoti.fi/36flUGo

Soundcloud: https://bit.ly/3dbj742

Podbean: www.podbean.com/ei/dir-dqcdd-7967659

ช่อง Tiktok เล่าความรู้ธุรกิจและการ reinvent ตัวเองที่สั้นกระชับใน 1 นาที

https://vt.tiktok.com/ZSWqXKCu/


#เธมส์THINKต่าง

Source: HBR เดือน Nov 2020 – A Simple Nudge to Boost Diversity