เรามีตำแหน่ง Manager กันไปทำไม?

เรามีตำแหน่ง Manager กันไปทำไม?

เรามีตำแหน่ง Manager กันไปทำไม?

1

ในองค์กรที่ทุกคนอยู่ ผมเชื่อว่าร้อยทั้งร้อยต้องมีคนที่ได้ชื่อตำแหน่งว่า Manager เดินกันอยู่เต็มไปหมด องค์กรยิ่งใหญ่ คนที่เป็น Manager ยิ่งมาก คำถามคือทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น ตำแหน่ง Manager มันจำเป็นขนาดนั้นเลยหรอ?
ไม่นานมานี้ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่ชื่อว่า
Trillion Dollar Coach ซึ่งเป็นหนังสือที่บอกเล่า
ถึงคุณ Bill Campbell Executive coach ในตำนาน
ของ Silicon Valley ผู้ซึ่งล่วงลับไปแล้วในปี 2016
คุณ Bill เป็นโค้ชให้กับผู้บริหารที่
ประสบความสำเร็จหลายๆคน เช่น Steve Jobs,
Larry Page และ Sergey Brin Co-founder ของ Google,
Eric Schmidt อดีต CEO google, รวมไปถึง
Sundar Pichai CEO คนปัจจุบันของ Alphabet ด้วยเป็นต้น
.

2

มีอยู่ตอนหนึ่งในหนังสือเล่าถึง Google ในช่วงปี 2001
ซึ่งเป็นช่วงที่ Google พึ่งจะออก product ที่ชื่อว่า AdWords ออกมา
ตอนนั้นคนที่เป็นผู้บริหารที่ดูแลด้าน software engineering คือคุณ Wayne Rosing ครับ
คุณ Wayne แกไม่ค่อยประทับใจ performance ของ manager ในหน่วยแกซักเท่าไหร่
เพราะพวกเขาเก่งแต่เรื่อง engineer แต่ไม่เก่งเรื่องการบริหารจัดการเอาซะเลย
.
คุณ Wayne เลยเอาเรื่องนี้ไปคุยกับ Larry Page
และ Sergey Brin Co-founder ของ Google ปรากฎว่าได้ไอเดียออกมาคือ
“เฮ้ย หรือเราเอา manager ทั้งหมดออกไปเลย
แล้วให้ software engineers ทั้งหมดขึ้นตรงกับคุณ Wayne ซะ”
นั่นคือสิ่งที่พวกเขาจะทดลองทำครับ
.

3

ในช่วงที่ google เริ่มทดลองการตัด Manager ออก
เป็นช่วงเดียวกันกับที่ Bill Campbell เข้ามาร่วมงานกับ Google พอดี
พอ Bill เริ่มรู้จักกับเหล่าผู้บริหารแล้ว มีอยู่วันหนึ่งระหว่างที่ Bill
กำลังนั่งคุยกับกลุ่มผู้บริหาร เขาก็ได้พูดกับ Larry Page ว่า
“เราต้องหา Manager เข้ามาทำงานที่นี่”
แต่ Larry ก็บอกว่าไม่จำเป็น ทำไมเราต้องมี Manager ด้วย
พวกเขาเถียงกันไปมา จนในที่สุด Bill บอกว่า
งั้นมานี่ เราไปคุยกับพวก software engineer กัน
.

4

ตัว Bill, Larry Page และ Sergey Brin เลยเดินลงไปยังที่ทำงานของเหล่า engineer
พวกเขาถาม Engineer ที่เจอว่า
“คุณอยากให้ที่นี่มี manager ไหม?”
Engineer คนนั้นตอบว่า “ใช่”
.
พอถามต่อว่าทำไม
Engineer คนนั้นก็ให้คำตอบว่า
“เขาอยากได้ใครซักคน
ที่ทำให้เขาได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากตัวคนๆนั้นได้
และใครซักคนที่จะมาช่วยเขาแก้ปัญหา”
โดยสรุปคือคืนนั้น Bill, Page และ Sergey Brin ก็ไล่ถาม engineer ได้อีกหลายคน
และทุกคนก็ให้คำตอบออกมาไม่แตกต่างกับคนแรกเลย
หลังจากวันนั้น พวกเขาก็ทดลองการตัด manager ออกไปอีกระยะหนึ่ง
จนในที่สุดก็ตัดสินใจเอา manager กลับมาทำงานใน Google จนได้
.

5

กลับมาที่คำถามว่าทำไมต้องมี manager?
.
คำตอบก็คือ
คนส่วนใหญ่อยากได้รับการ managed
จากใครซักคนที่มี “ความสามารถ” ที่จะทำให้
พวกเขาเป็นคนที่เก่งขึ้น ดีขึ้น ได้เรียนรู้มากขึ้น
และช่วยเหลือพวกเขาในการตัดสินใจ
แก้ปัญหาต่างๆให้งานมันเดินหน้าต่อไปได้อย่างลุล่วงครับ
ย้ำนะครับว่า เราอยากถูก manage
โดยคนที่ “มีความสามารถ”
ไม่มีใครอยากตามคนไม่มีความสามารถ
ไม่มีใครเชื่อคนที่ไม่มีความสามารถหรอกครับ
เวลาเราพูดถึงตำแหน่ง manager หรืออะไรก็แล้วแต่
ที่มันมีความเป็นหัวหน้าเนี่ย
มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะไม่พูดถึง
ความเป็นผู้นำ หรือ Leadership ด้วย
เพราะมันควรจะมาคู่กันเสมอ
.
ซึ่งคุณ Bill Campbell ได้บอกไว้ว่า
“ความเป็นผู้นำ จริงๆแล้วเป็นผลลัพธ์ที่มาจาก
การที่คุณมีความสามารถ
ในการบริหารจัดการอย่างยอดเยี่ยมนั่นเอง”
.
ถ้าคุณเป็น manager ที่ดีได้
ทีมงานของคุณจะทำให้คุณเป็น leader เองครับ
—-
ชวนกด subscribe #2050podcast – podcast ที่จะช่วยให้คุณ
รื้อค้นและสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ให้พร้อม
สำหรับการทำงานในโลกอนาคต ได้ทุกช่องทางด้านล่างครับ : )
Apple podcast: apple.co/39u9zQI
Soundcloud: @2050reinvent

Your Title Goes Here

Your content goes here. Edit or remove this text inline or in the module Content settings. You can also style every aspect of this content in the module Design settings and even apply custom CSS to this text in the module Advanced settings.

อะไรคือความแตกต่างระหว่าง “ความรู้สึกก้าวหน้า” กับ “ความก้าวหน้าจริงๆ” ?

อะไรคือความแตกต่างระหว่าง “ความรู้สึกก้าวหน้า” กับ “ความก้าวหน้าจริงๆ” ?

อะไรคือความแตกต่างระหว่าง "ความรู้สึกก้าวหน้า" กับ "ความก้าวหน้าจริงๆ" ?

ในหนังสือ Atomic Habits มีอยู่ตอนหนึ่ง
ผู้เขียนเล่าถึงความแตกต่างระหว่าง
“การรู้สึกว่าตัวเองกำลังก้าวหน้า” (being in motion)
กับ “การลงมือทำอะไรบางอย่าง” (taking action)
ว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน…
.
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพเช่น
สมมุติผมอยากเขียนหนังสือซักเล่มหนึ่ง
การหาไอเดียสำหรับเขียนหนังสือคือ being in motion
การอ่านหนังสือหลายๆเล่มเพื่อเติมไอเดียคือ being in motion
.
แต่ Taking action
คือการเอาตัวเองนั่งลงไปที่เก้าอี้
แล้วเริ่มขยับมือพิมพ์จริงๆ
.
สิ่งที่ต่างกันระหว่างสองอย่างที่ว่าคือ
Being in motion ไม่ได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์
แต่ Taking action ทำให้คุณได้ผลลัพธ์จริงๆ
.
ในชีวิตเรามักทำอะไรหลายๆอย่าง
ที่ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าเรากำลังก้าวไปข้างหน้า
รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมี progress
เช่น การวางแผนอนาคต การเรียนคอร์สออนไลน์
การอ่านหนังสือ หรืออีกหลายๆอย่าง
.
สิ่งเหล่านี้ทำให้เราแค่ “รู้สึก” ว่า ก้าวหน้า
ทั้งที่จริงๆแล้ว เราไม่ได้ก้าวหน้าอะไรเลย
.
อย่าให้”ความรู้สึก” ของความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นประเดี๋ยวประด๋าว
มาทำให้เราไขว้เขว จาก “ความก้าวหน้าจริงๆ”
ซึ่งจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อเรา “ลงมือทำ” เท่านั้น
.
อย่าให้ “ความรู้สึกดี” ที่เกิดขึ้นง่ายๆในระยะสั้น
มาเอาชนะการพาตัวเองไปลงมือทำ
ซึ่งอาจจะไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกก้าวหน้าในระยะสั้น
แต่ทำให้เกิด “ผลลัพธ์ที่เห็นผล” ในระยะยาวจริงๆ
.
แยกให้ดีครับว่า
อะไรคือ being in motion
อะไรคือ taking action
เพราะถ้าไม่แยกแยะให้ชัดเจนตั้งแต่วันนี้
เป็นไปได้ว่า
“เราอาจเสียเวลาผลัดวัดประกันพรุ่ง
ในการลงมือทำบางสิ่งซึ่งให้ผลลัพธ์จริงๆ
ไปกับการทำแต่สิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าก้าวหน้า
ซึ่งไม่ได้สร้างผลลัพธ์อะไรออกมาเลย”
.
แยกแยะให้ดีครับ ; )
—-
ps. 5 หนังสือธุรกิจที่ดีที่สุดที่ผมเคยอ่านมาคืออะไร? แต่ละเล่มพูดถึงประเด็นไหนสำคัญๆบ้าง?
.
VDO นี้ เธมส์อยากเอามาเล่าสู่กันฟังครับ
.
อย่าลืม subscribe ช่อง #youtube กันไว้นะครับ เธมส์จะมี content ใหม่ๆ exclusive เฉพาะ youtube เท่านั้นมาให้เพื่อนๆได้ดูกันบ่อยๆครับ : )
.
Work from home หรือ Work from hell ?

Work from home หรือ Work from hell ?

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในสถานการณ์วิกฤติช่วงนี้ หลายๆองค์กรคงออกนโยบายเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับตัวพนักงานเองและสังคม ด้วยการให้พนักงานได้มีโอกาส #WFH กันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ตัวเธมส์เองก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ แทบจะเรียกได้ว่านี่คือประสบการณ์ใหม่ที่สุดอย่างหนึ่งในการทำงานประจำเลยทีเดียว

 

วันนี้เลยอยากมาชวนคุยว่า จากที่ได้ #WFH มา 1 อาทิตย์เนี่ย มันดีหรือไม่ดียังไง ผมได้เรียนรู้เรื่องอะไรบ้าง และถ้าไม่ดี จะปรับปรุงพัฒนาเรื่องเหล่านั้นให้ดีขึ้นได้ยังไง มาดูกัน

 

—–

 

ดี มี 2 ข้อที่เห็นชัดๆเลยคือ

 

.

 

1) Productivity ของงาน internal operation เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

 

– ทำงานเสร็จมากกว่าแผน ทำงานไวมากกว่าอยู่ที่ออฟฟิศ เพราะไม่มีใครมารบกวน หรือทำให้เสียสมาธิในระหว่างที่เราโฟกัสกับการทำงานส่วนตัว

 

– ส่วนเรื่องการประชุมนั้น การใช้ VDO conference + โปรแแกรม collab whiteboard ต่างๆ ก็สามารถทดแทนการประชุมแบบเจอตัวกันได้อย่างจริงจังแบบไม่น่าเชื่อ คือเปลี่ยนความคิดไปเลยว่า จะประชุมให้ดี ต้องเห็นหน้ากันสิ ต้องมีปฏิสัมพันธ์กันสิ โอ้โห มันแทนกันได้แฮะ แถมไม่ต้องเดินสลับห้องไปไหน ประชุมเสร็จหนึ่งประชุมแล้วประชุมต่ออีกอันได้เลย ควบคุมเวลาในการประชุมได้ดีกว่า มีประชุมซ้อนก็เข้าห้อง ออกห้องกันได้ สลับไปมาได้ โดยไม่เสียเวลา เรียกว่าในภาพรวมดีขึ้นเลย

 

.

 

2) เวลาชีวิตมากขึ้น

 

– โดยปกติผมจะขับรถไปกลับรวมวันละ 100 km. ใช้เวลาบนถนนรวมๆแล้วประมาณราวๆ 3 ชั่วโมง ผมได้เวลานั้นกลับมา

 

– ผมเอาเวลาบางส่วนไปใช้ในการออกกำลังกายมากขึ้น ซึ่งดี

 

.

 

—–

 

เรื่อง ไม่ดี บ้าง

 

.

 

1) ร่างกายไม่ค่อยดี

 

– พอทำงานแบบ focus มากๆ นั่งอยู่หน้า laptop ตลอดเวลา ประชุมเยอะๆ productive มากๆ สิ่งที่แลกมาคือความเมื่อยล้าที่เกิดจากการทำงานเพิ่มขึ้น เมื่อยตัว เมื่อยแขน ไม่ได้ลุกเดินไปไหน จากเดิมที่ตอนอยู่ออฟฟิศ จะต้องเดินไปประชุมสลับห้องนู้นห้องนี้ตลอดเวลา ร่างกายมัน active กว่ากันเยอะ

 

– ปวดตา ปวดหู เพราะจ้องหน้าจอเยอะ ใส่หูฟัง conference ตลอดเวลา

 

– ล้าไวขึ้น คิดว่ามาจากการโฟกัสกับงานมากขึ้นในช่วงเวลา 8 normal working hours เลยใช้พลังสมองเยอะกว่าปกติ เพราะบริบทในการทำงานเปลี่ยนไป ยังหาจุดลงตัวใหม่ในการทำงานสลับพักที่มีประสิทธิภาพในภาพรวมของชีวิตได้ไม่ดี

 

.

 

2) กินจุกจิก 

 

จะอ้วน เคลื่อนที่ก็ไม่ค่อยได้เคลื่อนที่ ยังจะกินจุกจิกเยอะอีก น้ำหนักจะขึ้นเอาได้ง่ายๆไม่รู้ตัว

 

.

 

3) เบื่อ 

 

พออยู่ในบรรยากาศเดิมๆ นั่งอยู่แต่จุดเดิมๆตลอด ไม่ได้ไปไหนเลย ก็มีเบื่อเหมือนกัน

 

.

4) เวลาว่างมากเกินไป ไม่คุ้นเคย

#เวลาว่างชีวิตเหลือเยอะขึ้น จะว่าเป็นสิ่งที่ดีก็จริง แต่กลับกลายเป็นว่า มันก็ไม่ได้ทำให้เราทำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้นแบบที่คิดเลย เพราะชะล่าใจเกินไป และไม่มีการวางแผนการใช้เวลาที่ดี

 

.

 

—–

 

 

1

 

 

การ WFH โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ ทำให้เราประหยัดเวลามากขึ้น ทำงานได้เยอะขึ้น ประชุมได้ต่อเนื่องขึ้น จนเราก็บ้าไปกับการ schedule vdo conference ต่างๆติดๆกันจนเกินไป จนลืมไปว่าต่อให้ WFH ก็ต้องพักน้อยเหมือนกัน

 

.

 

โดยปกติผมจะรักษาความคงเส้นคงวาของพลังงานตลอดทั้งวันด้วยการ ทำแล้วพัก ทำแล้วพัก คือทำงานประมาณ 1-1.5 ชั่วโมง แล้วจะพักประมาณ 10-15 นาทีต่อรอบ (ถ้าทำได้) การทำแบบนี้จะทำให้เราไม่เครียดเกินไป รักษาพลังงานได้ดีคงที่ตลอดทั้งวันมากกว่านั่งทำงานไปยาวๆแล้วจมดิ่งกับงานตรงหน้าโดยไม่ได้เอาตัวเองหลุดออกมาจากความเครียดเลย

 

.

 

2

 

 

ไปเดินเพื่อทำให้ร่างกาย active ไปยืดเส้นยืดสาย และเป็นการใช้พลังงานไปพร้อมๆกัน น้ำหนักจะได้ไม่ขึ้นง่ายเกินไป

 

.

 

อีกวิธีการพักที่ดีก็คือ แทนที่จะไปเดินเฉยๆ ก็เอาเวลาพักน้อยที่ว่า ไปทำกิจกรรมที่เราสนใจ ใช้โอกาสนี้ในการตั้งเป้าหมายเพื่อฝึกฝนทักษะบางอย่างเล็กๆน้อยๆ (micro-mastery) ดู เช่น อยากเพิ่มทักษะทำอาหาร ก็ใช้เวลาเล็กๆน้อยๆไปเตรียมวัตถุดิบ เตรียมอุปกรณ์ แล้วกลับไปทำงานหลัก สลับกิจกรรมย่อยไปเรื่อยๆ เที่ยงก็ได้ทำอาหารพอดี ทำแบบนี้ทุกๆวันก็จะทำอาหารเก่งขึ้น อร่อยขึ้น เป็นต้น

 

.

 

3

 

 

นี่เป็นโอกาสให้เราได้มาจัดมุมนั่งทำงานที่บ้านในแบบที่เราชอบ จุดที่นั่งทำงานให้รายล้อมด้วยสิ่งที่ทำให้เกิดพลังงานดีๆ นอกจากได้จัดจุดทำงานแล้ว นี่คือโอกาสจัดบ้านให้มีพลังบวกไปในตัวด้วย จัดจุดทำงานไว้ๆหลายๆจุด จะได้ไม่เบื่อ ช่วงเช้านั่งจุดหนึ่ง ช่วงบ่ายอาจจะนั่งจุดหนึ่ง การทำแบบนี้ก็เป็นไอเดียที่ไม่เลวเลยทีเดียว (รูป content คือมุมเล็กๆน้อยๆแถวที่นั่งทำงานที่ผมจัดให้ตัวเองใหม่)

 

.

 

4

 

 

เชื่อว่าหลายๆคนคงใช้ food delivery service ต่างๆในการสั่งซื้ออาหารและเครื่องดื่มมากินที่บ้าน เพราะสะดวกและปลอดภัย ไม่ต้องออกไปไหนก็มีอะไรกินทุกวัน

 

.

 

แต่เพื่อให้เราได้ออกจากจุดเดิมๆบ้าง ลองขับรถไปซื้อของกิน ซื้อกาแฟใกล้ๆบ้านด้วยตัวเองก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี ที่ทำให้ไม่เบื่อจนเกินไป และได้หลุดออกมาจากบรรยากาศของการทำงานที่บ้านได้ด้วย (ในข้อแม้ว่า ต้องดูแลตัวเองให้ดี ใส่หน้ากากอนามัย เตรียมเจลแอลกอฮอลล์ติดตัวไว้เสมอ)

 

.

 

5

 

#TimeBoxing เวลาชีวิตใหม่

 

เวลามากขึ้น ไม่ได้ทำให้ทำสิ่งต่างๆในชีวิตได้ตอบโจทย์มากขึ้น ถ้าไม่ได้วางแผนการใช้เวลาใหม่ การ WFH ทำให้บริบทในการทำงานเปลี่ยน ความรู้สึกเปลี่ยน environment เปลี่ยน การใช้เวลาเปลี่ยน เพราะฉะนั้นถ้าอยากใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์ต่อภาพรวมในชีวิตจริงๆ ต้องทดลองทำ Time box ให้กับกิจกรรมในชีวิตใหม่ เพื่อสร้าง new routine ให้กับตัวเองให้ได้

 

.

 

นี่คือโอกาสที่จะทำให้เราได้ใช้เวลาที่เพิ่มเข้ามา ไปทำอะไรหลายๆอย่างซึ่งตอบโจทย์ภาพรวมในชีวิตได้มากขึ้น อย่าปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ จงบริหารมัน

 

.

 

.

 

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เธมส์ได้เรียนรู้จากการ #WFH มา 1 อาทิตย์ และสิ่งที่จะเอาไปปรับทำเพื่อพัฒนาต่อไป ใครมีบทเรียนอะไร มีวิธีการดีๆแบบไหน เอามาแบ่งปัน มาแชร์กันได้เลยครับ จะขอบคุณมากๆ : )

 

.

 

สุดท้าย ขอให้เราผ่านช่วงเวลายากลำบากนี้ไปได้ด้วยดี-ด้วยกันครับ

 

 

6 ขั้นตอนจัดโต๊ะทำงานยังไงให้สุขภาพไม่เสียในช่วง WFH

6 ขั้นตอนจัดโต๊ะทำงานยังไงให้สุขภาพไม่เสียในช่วง WFH

นั่งทำงานแล้วเมื่อย ปวดตัว ปวดหลัง รู้สึกไม่สะดวกสบาย กลัวจะเป็น office syndrome ยิ่งในช่วง WFH ยิ่งลำบาก

วันนี้เธมส์อยากชวนคุยเล่าสู่กันฟังว่า จะจัดโต๊ะทำงานใหม่ยังไงให้ไม่เสียสุขภาพ ถูกหลัก ergonomic และเพิ่ม productivity ได้ไปพร้อมๆกันครับ

ในหัวข้อ “6 ขั้นตอนจัดโต๊ะทำงานยังไงให้สุขภาพไม่เสียในช่วง WFH” มา!

#1 หาท่านั่งธรรมชาติของเราก่อน

วิธีการง่ายๆคือลองเลื่อนเก้าอี้ออกมาครับ แล้วนั่งลงไปแบบไม่ต้องเกร็งนะครับ เอาที่สบายๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ท่านั่งธรรมชาติอาจจะเป็นท่านั่งที่คล้ายๆกับเวลาเราขับรถครับคือ เท้าต้องวางอยู่บนพื้นอยู่ทางด้านหน้าของคุณ แขนก็วางสบายๆจับพวงมาลัย ไหล่พิงสบายๆเอนไปทางด้านหลังเล็กน้อย ด้วยท่านั่งนี้กระดูกสันหลังเราจะตั้งตรงครับทำให้หายใจได้สะดวก ไม่ติดขัด นี่คือลักษณะของท่านั่งธรรมชาติของเราครับ . พยายามจำความรู้สึกนี้เอาไว้เพื่อใช้ในการ set workstation ของตัวเองในข้อถัดไปกัน . .

#2 การจัดวาง keyboard และ mouse

จากท่านั่งธรรมชาติของเรา keyboard และ mouse ควรจะตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้ข้อศอกคุณเวลาเอาไปวางบนอุปกรณ์เหล่านั้น อยู่ที่ตำแหน่งข้างลำตัวพอดี และมุมข้อศอกจะตั้งฉากหรือเอนลงมาเล็กน้อยกับลำตัวประมาณ 90 – 120 องศา . ท่าทางการทำงานแบบนี้จะทำให้เราลดแรงของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการทำงานได้เยอะเลยครับ และกล้ามเนื้อจะไม่ตึง . อีกเรื่องที่สำคัญคือตำแหน่งในการวางของ keyboard และ mouse ก็คือต้องอยู่ในระยะที่พอดีกับระยะวางมือนั่นแหละครับ .

แต่มีข้อแนะนำเรื่องอุปกรณ์นิดนึงคือว่า ถ้าจะซื้อ full size keyboard แยก ไม่จำเป็น พยายามอย่าซื้อแบบที่มันมี num pad ด้านข้างติดมานะครับ เพราะลองจินตนาการว่าเวลาคุณตั้ง keyboard ให้อยู่ตรงกลางตัวเนี่ย กลายเป็นว่าเวลาพิพม์ คุณจะต้องพิมพ์แบบตัวเอียงๆถูกมั้ย เพราะไอ้ส่วนที่เราพิมพ์บ่อยมันอยู่ทางช่วงซ้ายๆ แล้วเราแก้ปัญหายังไงกันครับ? . เราก็จะแก้ด้วยการขยับ keyboard มาให้ตำแหน่งการพิมพ์มันมาอยู่ตรงกลางตัวพอดี พอเราแก้แบบนี้ ก็กลายเป็นว่า อ่าว มันก็จะไปมีปัญหา แย่งพื้นที่ในการใช้ mouse ของคุณอีก คราวนี้คุณก็ต้องขยับแขน ยกแขนบ่อยๆ จากพื้นที่การใช้งาน mouse ที่ลำบากยากเข็ญกันไปอีกทอดนึง . .

#3 การวางตำแหน่งของจอ

อันนี้หลักการไม่ยากครับ อันดับแรกระยะการวางจอที่เหมาะสมคือหนึ่งช่วงแขนจากที่ๆคุณนั่ง เวลาจะวัดก็ลองนั่งพิงเก้าอี้สบายๆครับแล้วคุณก็ยื่นมือไปเลยครับ 1 ช่วงแขน ถ้าแตะจอได้พอดี อันนั้นแหละ โอเคเลย วางจอตรงนั้นเลยครับ

อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญของการวางตำแหน่งจอคือ ความสูงครับ ความสูงที่เหมาะสมคือแบบนี้ครับ ลองนั่งในท่าธรรมชาติแบบตะกี้นะครับ แล้วหลับตาลงครับ ทีนี้ลองลืมตาขึ้นมา ระดับสายตาที่คุณลืมตามาจะต้องไปตรงกับ ช่องสำหรับพิมพ์ ip address เวลาจะเล่น internet พอดีครับ นั่นแหละความสูงที่เหมาะสมของจอครับ

แล้วถ้าความสูงมันไม่ได้ ไม่เหมาะจะทำยังไง ก็ปรับความสูงจอครับ หรือหาหนังสือ หาแพ็คกระดาษรีมๆมาตั้งไว้ให้ตำแหน่งมันเหมาะสมก็ได้ครับ ไม่ยากเลยใช่ไหม . พอระยะห่างจากตัวได้ ความสูงได้ ถัดมาคือเรื่ององศาของจอครับ ก็พยายามปรับให้มันไม่สะท้อนแสงมากแล้วกันครับ จะได้ไม่เสียสายตากันไปซะเปล่าๆ . .

#4 การปรับตั้งเก้าอี้ให้เหมาะสม

เก้าอี้นี่เป็นสิ่งสำคัญมากๆที่จะช่วยทำให้คุณสามารถนั่งแบบถูกหลักการยศาสตร์ได้ครับ เพราะมันช่วยทั้ง support หลัง ก้น แล้วก็ท่าทางในการนั่งครับ เราจะนั่งท่าธรรมชาติได้สบายหรือไม่สบายนี่ เก้าอี้นี่มีส่วนสำคัญมากครับ แล้วการปรับเปลี่ยนเก้าอี้ที่เหมาะสมนี่มันปรับยังไง? .

อันดับแรกเรื่องรูปร่างเก้าอี้ อันนี้คงต้องแล้วแต่ท่าธรรมชาติของแต่ละคนด้วย แต่โดยรวมก็เลือกที่ support หลัง ก้น เอว ให้นั่งให้สบาย หายใจคล่อง นั่นแหละ . ถัดมาเรื่องความยาวของตัวที่นั่งครับ ความยาวที่เหมาะสมคือเวลาคุณนั่งด้วยท่าธรรมชาติแล้ว ขอบเก้าอี้จะไม่ชนกับข้อพับหลังเข่า แต่ควรจะมีช่องว่างขนาดประมาณหนึ่งกำปั้นครับ ซึ่งอันนี้ก็ต้องอยู่ที่เก้าอี้ว่าสามารถปรับความลึกตื้นได้มั้ย แต่ถ้าเป็นเก้าอี้สำนักงานทั่วไปคิดว่าปรับได้ครับ ก็ลองปรับกันดู .

อีกเรื่องหนึ่งคือความสูงของเก้าอี้ ซึ่งมันเกี่ยวกับองศาและระยะในการวางมือบน keyboard กับ mouse ที่เหมาะสมในขั้นตอนที่ 2 น่ะครับ ก็ถ้าปรับความสูงเก้าอี้ให้พอดีกับระยะการวางมือแล้ว ตัวเองขาลอย ต้องทำตัวประหนึ่งว่า ชั้นเป็นนักบัลเล่ต์ทีมชาติ ต้องจิกปลายเท้าแตะพื้นตลอดเวลา อันนี้ก็อย่าลืมไปหาที่วางเท้ามาวางกันด้วยนะครับ อันนี้คือหัวข้อที่ 4 ในเรื่องของเก้าอี้ครับ เรามาถึงเรื่องถัดไปกันดีกว่าครับ

#5 อย่านั่งอย่างเดียว

ต่อให้เราพูดถึงการจัดพื้นที่ทำงานให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์กันก็จริง แต่ความเป็นจริงคือ เราไม่ควรนั่งอย่างเดียว

มันจำเป็นมากที่เราต้องมีการขยับเขยื้อนลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายบ่อยๆ เรื่องนี้เคยเล่าไปในตอนอื่นๆแล้วว่า physical activity นี่สำคัญมาก เพราะมันจะทำให้เรา alert และคิดสิ่งต่างๆได้ออกมากกว่า มี productivity ที่สูงกว่า

หาพักน้อยให้กับตัวเองเสมอครับ ทุกชั่วโมงถึงชั่วโมงครึ่ง อย่างน้อยต้องมีพักออกไปเข้าห้องน้ำ เดิน ยืดเส้นยืดสาย หรือทำ activity อื่นๆที่ทำให้คุณลุกออกมาจาก workstation ของตัวเองกันด้วย เรามาถึงข้อสุดท้ายกันแล้วครับ

#6 ออกแบบสิ่งแวดล้อมที่ทำให้คุณ productive

มันมี research เยอะมากนะครับที่บอกว่าสิ่งแวดล้อมมีผลต่อความสามารถในการทำงานจริงๆ ซึ่งถ้าให้สรุปข้อแนะนำเล็กๆน้อยที่ให้ทุกคนเอาไปใช้กันได้ง่ายๆก็คือ

อย่างแรก พยายามอยู่ใกล้กับธรรมชาติหน่อยครับ จัดโต๊ะในตำแหน่งที่ให้แสงอาทิตย์ส่องถึง เห็นต้นไม้ใบหญ้าข้างนอกหรือ เอาต้นไม้เขียวๆมาใส่กระถางตั้งไว้บริเวณ workstation ก็ได้ . อีกเรื่องคือเรื่องการควบคุม noise รอบตัวครับ ซึ่งเสียงรอบตัวมีผลต่อลักษณะในการทำงานต่างกัน

หนังสือ The best place to work บอกว่า ถ้าเราทำงานที่ต้องใช้สมาธิ ต้องดูเรื่องรายละเอียด การเปิดเพลง jazz หรือ nature sound ในทาง logic แล้วมันก็อาจจะดูรบกวนสมาธิแหละเนอะ แต่ความจริงคือมันจะช่วยทำให้คุณสามารถโฟกัสและทำงานตรงหน้าได้อย่างมีความสุขมากขึ้น เครียดน้อยลงได้ และทำงานได้ต่อเนื่องมากขึ้นด้วยครับ

หรือถ้าเราต้องทำงานที่ต้องการใช้ความคิดสร้างสรรค์ กรณีนี้ผลวิจัยที่อ้างไว้ในหนังสือก็บอกมาว่า การทำงานในบรรยากาศที่มีเสียงรบกวน เสียงพูดคุยเบาๆ เหมือนนั่งทำงานอยู่ในร้านกาแฟ จะส่งผลต่อความสามารถในการเชื่อมโยงจุดของความคิดได้ดีมากกว่า ซึ่งช่วยทำให้เราสร้างผลงานว้าวๆออกมาได้มากขึ้นด้วย

นอกจากเรื่องที่ว่ามาแล้ว อีกอย่างที่เราทำได้เลยคือ ตกแต่ง workstation ในแบบที่เราชอบเลยครับ จัดการกันตามสบายในสไตล์ที่ตัวเองอยากได้กันเลย การทำแบบนี้จะทำให้เรามีความสุขกับการนั่งทำงานอยู่ตรงนั้นได้มากขึ้นอีกเยอะเลยครับ

ผมหวังว่า content นี้จะทำให้ทุกคนปรับ workstation การทำงานของตัวเองได้ดีต่อสุขภาพและประสิทธิภาพในการทำงานกันได้มากขึ้นนะครับ ถ้ามีประโยชน์ก็อย่าลืมกด like กด share ออกไปเพื่อเป็นกำลังใจให้เธมส์ด้วยนะครับ

ขอให้มีความสุขในการ Work from home ครับ : ))

#เธมส์thinkต่าง #เปลี่ยนงานประจำธรรมดาเป็นวิชาสร้างชีวิต #2050Podcast